กาแฟคั่วบด เปิดเกมรบทุกสมรภูมิ กลุ่มบนส่งไฟติ้ง สู้ -น้องใหม่ท้าชน สตาร์บัคส์
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/dro-1.jpg)
( ภาพจาก www.facebook.com/caffe.d.oro )
ร้านกาแฟแข่งเดือดทุกตลาด แบรนด์เล็ก-ใหญ่รุกเต็มที่หลังเห็นโอกาสมหาศาล ค่ายพรีเมียมปรับแผนแห่เปิด "ไฟติ้งแบรนด์" เพิ่มฐานลูกค้าระดับกลางแก้โจทย์โลเกชั่นหายาก แบล็คแคนยอนส่ง "ออล อิน วัน" บุกบีทีเอส-สำนักงาน ด้านดิโอโร่ผุด "เฟิร์สคัพ คอฟฟี่" ส่วน อโรม่า ชะลอสาขา "ไนน์ตี้โฟร์" เบนเข็มลุยชาวดอยเต็มสูบ ปตท.บุก "อเมซอน" เต็มสูบขยับออกนอกปั๊ม พร้อมปรับสู่พรีเมี่ยมขยายลูกค้ากลุ่มบน
ตลาดร้านกาแฟเมืองไทยแม้จะมีแบรนด์จำนวนมากเข้ามาเปิดให้บริหาร แต่กระแสความนิยมของผู้บริโภคก็ยังคงแรงต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีผู้บริโภคหน้าใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันเป็นไปอย่างรุนแรง ไม่เพียงแค่เซ็กเมนต์ใดเซ็กเมนต์หนึ่ง แต่ได้ขยายไปในทุก ๆ ตลาดกาแฟคั่วบดตั้งแต่บน-ล่าง
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นทุกวันนี้ก็ยังคงมีผู้เล่นหน้าใหม่พยายามหาช่องว่างที่จะเจาะเข้ามาในตลาดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้สมรภูมิร้านกาแฟวันนี้มีสีสันและน่าสนใจอย่างยิ่ง
แบรนด์ดังแห่ผุดไฟติ้งแบรนด์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความเคลื่อนไหวในตลาดร้านกาแฟคั่วบดระดับบนในไทย หลายค่ายได้เปิดตัว "ไฟติ้ง แบรนด์" เข้ามาสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็นค่ายอโรม่า กรุ๊ป เจ้าของแบรนด์ "ไนน์ตี้โฟร์ คอฟฟี่" ที่เจาะกลุ่มระดับบน ในช่วง 1-2 ปีหลังมานี้ก็หันมาโฟกัสที่ตลาดร้านกาแฟระดับกลางกับแบรนด์ "ชาวดอย" เช่นเดียวกับร้านแบล็คแคนยอน ที่เปิดตัวร้านกาแฟ "ออล อิน วัน" ในรูปแบบ คีออสก์ขนาดเล็กที่เปิดให้บริการเมื่อ 4-5 เดือนที่ผ่านมา บนบีทีเอสและสำนักงานเพื่อง่ายต่อการขยายสาขา
เช่นเดียวกับค่ายวีพีพี โปรเกรสซิฟ เจ้าของแบรนด์ร้านกาแฟ "ดิโอโร่" ที่ล่าสุดได้เปิดตัวร้านกาแฟระดับกลาง "เฟิร์สคัพ คอฟฟี่" (First Cup Coffee) ซึ่งเน้นเปิดตามอาคาร ร้านสะดวกซื้อ รวมถึงสถานีบริการน้ำมัน สถานการศึกษา ฯลฯ
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/dro-2.jpg)
( ภาพจาก www.facebook.com/caffe.d.oro )
ชาวดอยเพิ่มอีก 100 สาขาสิ้นปี
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นายพริษฐ์ อนุกูลธนาการ ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการ ในเครืออโรม่า กรุ๊ป ผู้บริหารร้านกาแฟไนน์ตี้โฟร์ คอฟฟี่ และชาวดอย เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดร้านกาแฟคั่วบดมี 2 ระดับ คือระดับกลางและระดับบน ซึ่งในแง่รสชาติและวัตถุดิบที่ใช้จะแตกต่างกันตามราคาของสินค้า โดยระดับ B-C มีราคาอยู่ที่ 35-50 บาท ส่วนระดับ A อยู่ที่ 70 บาทขึ้นไป ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคจะแตกต่างกัน ที่ผ่านมาร้านกาแฟกลุ่ม B-C จะขยายตัวได้ง่ายกว่า เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านโลเกชั่น บวกกับฐานลูกค้าที่กว้างกว่าระดับบน ทำให้บรรดาพรีเมี่ยมแบรนด์เบนเข็มมาสู่ตลาดนี้กันมากขึ้น
ในส่วนของแบรนด์ "ชาวดอย" ปัจจุบันมี 255 สาขา คาดว่าสิ้นปีจะมี 355 สาขา ถือเป็นกลยุทธ์หลักในการเติบโตของบริษัท และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับร้านกาแฟระดับบนแบรนด์อื่น ๆ ที่เห็นโอกาสในตลาดนี้ โดยส่ง "ไฟติ้งแบรนด์" เข้ามาชิงฐานลูกค้าปัจจุบันถือว่าตลาดมีการแข่งขันรุนแรง แต่ด้วยความง่ายในการเปิดสาขาทำให้ยังมีโอกาสขยายตัวอีกมหาศาล
แบรนด์เกาหลีท้าชน "สตาร์บัคส์"
แม้การเติบโตจะไม่หวือหวาเทียบกับระดับกลาง แต่ล่าสุดแบรนด์ร้านกาแฟอันดับ 1 ในเกาหลี "ทัม เอ็น ทัมส์ คอฟฟี่" (Tom N Toms Coffee) ก็ประกาศเดินหน้าขยายสาขาในไทยอย่างเต็มที่
นายคิม โด คยุน ประธานและผู้ก่อตั้งร้านกาแฟ "ทัม เอ็น ทัมส์ คอฟฟี่" (Tom N Toms Coffee) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนรุกตลาดในไทยอย่างเต็มที่ หลังจากเปิดสาขาแรกเมื่อปลายปีที่แล้วที่ "เควิลเลจ" และปีนี้เปิดอีก 1 สาขาที่แพลทินัม ประตูน้ำ จนถึงสิ้นปีนี้จะเปิดอีก 3 สาขา ขณะที่ปีหน้าจะเพิ่มอีก 15 สาขา และภายในปี 2556 ตั้งเป้าจะมีสาขาในไทยไม่ต่ำกว่า 50 สาขา กลยุทธ์หลักคือการเปิดแฟรนไชส์ ซึ่งจะทำให้การเปิดสาขาใหม่เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยทำเลที่มองไว้ในช่วงแรกจะเน้นที่ศูนย์การค้าเป็นหลัก
จุดขายของแบรนด์ในการแข่งขันตลาดเมืองไทยคือความหลากหลายของเมนู เพราะนอกจากกาแฟแล้วยังมีจุดเด่นในเรื่องเบเกอรี่ รวมถึงเครื่องดื่มประเภทอื่น ๆ อาทิ สมูทตี้, ชา ฯลฯ เป็นคู่แข่งกับร้านสตาร์บัคส์โดยตรง โดยวางราคาในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยัง...จะให้ไทยให้เป็นศูนย์กลางเพื่อขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากมีศักยภาพในการเติบโตสูง ปัจจุบันเปิดสาขาใน 9 ประเทศทั่วโลก โดยจะเริ่มรุกภูมิภาคอาเซียนอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/dro-3.jpg)
( ภาพจาก www.facebook.com/caffe.d.oro )
ด้านนายวิวัฒน์ เด่นดีวณิช กรรมการ บริษัท ทัม เอ็น ทัมส์ โฮลดิ้งส์ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดร้านกาแฟระดับบนยังมีช่องว่างและโอกาสในการเติบโต แม้ปัจจุบันสตาร์บัคส์จะเป็นผู้นำ แต่บริษัทจะเน้นสร้างความแตกต่างในด้านการบริหาร รวมถึงมีแผนใช้ข้อได้เปรียบความเป็นแบรนด์เกาหลีที่เป็นกระแสของคนไทยมาเป็นจุดขายด้วย
"สตาร์บัคส์ไม่มีอะไรน่ากลัว ตลาดร้านกาแฟไทยยังมีช่องว่างสอดแทรกเข้าไปได้ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาผู้บริโภคในระดับบนไม่มีทางเลือกเท่านั้น"
ก่อนหน้านี้ "แมคคาเฟ่" และ "ดังกิ้น โดนัท" ก็ประกาศศึกท้าชนกับสตาร์บัคส์ เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะรายหลังที่ปรับตำแหน่งทางการตลาดชูภาพของ "โดนัท+กาแฟ" โดยเปิดตัวเมนูกาแฟคั่วบดออกมาให้บริการลูกค้า วางกลยุทธ์ราคาที่ถูกกว่าสตาร์บัคส์ในคุณภาพที่เท่ากันมาเป็นจุดขาย
ขณะที่ผู้นำตลาดร้านกาแฟในไทยอย่าง "สตาร์บัคส์" ก็รุดหน้าไปอีกสเต็ปด้วยการส่งกาแฟพร้อมชง "เวีย" (via) เพื่อเพิ่มโอกาสในการดื่มกาแฟให้กับบรรดากลุ่มแฟนพันธุ์แท้ของสตาร์บัคส์
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/dro-4.jpg)
( ภาพจาก www.facebook.com/caffe.d.oro )
อเมซอนลุยตลาดระดับบน
ส่วนความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาอย่างยิ่งขณะนี้คือ "คาเฟ่ อเมซอน" ธุรกิจของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่เตรียมเปิดสาขานอกปั๊ม ปตท. ภายใต้ระบบแฟรนไชส์ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป
แหล่งข่าวจากวงการกาแฟเปิดเผยว่า สาขาที่ ปตท.จะเปิดนอกปั๊มน้ำมันจะเป็นการบริหารจัดการของทีมงาน ปตท.เอง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้สั่งสมประสบการณ์มาพอสมควร โดยเชื่อว่าร้านที่ขยายนอกปั๊มจะมีการปรับคอนเซ็ปต์และอัพเกรดไปสู่ร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยม เพื่อขยายฐานลูกค้าของตัวเอง
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าปัจจุบันร้านกาแฟระดับบน โดยเฉพาะที่เปิดในศูนย์การค้าถูกครอบครองโดยสตาร์บัคส์เกือบหมดแล้ว อีกทั้งร้านกาแฟเป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีแบรนด์ลอยัลตี้สูง ขณะที่ฐานคอกาแฟในกลุ่มบนก็ไม่ได้ขยายตัวมากนัก แบรนด์ที่ยังเปิดในศูนย์จะไม่ใช่แบรนด์ร้านกาแฟเพียวอย่างเดียว แต่ต้องมีจุดขายอื่น ๆ อาทิ แบล็คแคนยอนที่มีสัดส่วนอาหารเป็นหลัก หรือบลูคัพของเอสแอนด์พีก็รวมกับเบเกอรี่ เช่นเดียวกับโอบองแปง หรือ กระทั่งคอฟฟี่ เวิลด์ ที่ทุกวันนี้ได้เบนเข็มไปเปิดสาขาบนบีทีเอส ขณะที่ในศูนย์ การค้าก็จะปรับไปเปิดเป็นคอร์เนอร์แทน
"ต้องจับตาดูว่า อเมซอนจะปรับ คอนเซ็ปต์อย่างไร และเอาอะไรมาเป็นจุดขาย เท่าที่ทราบไม่ได้มีการปรับชื่อแบรนด์ เพราะผู้บริโภคจำได้อยู่แล้ว แต่การจะปรับให้พรีเมี่ยมขึ้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้บริโภคอาจยังติดภาพของความเป็นกาแฟในปั๊ม"
อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ