จุดเริ่มต้นของ ‘รุ่งบ้านกาแฟ’ มาจาก “รุ่งอรุณ ม่วงมนตรี” สาวผู้มีความฝันอยากมีธุรกิจร้านกาแฟของตัวเองมายาวนาน จนช่วงวิกฤตฟองสบู่แตก เมื่อปี 2540 ได้ลาออกจากงานประจำ หันมาเปิดซุ้มไม้เล็กๆขายกาแฟ หน้าร้านกิฟท์ชอปของพี่สาว

       

เนื่องจากความธรรมดาของเมนู ประกอบกับยังเป็นมือใหม่ในวงการ เวลานั้นยอดขายต่อวันเพียงไม่กี่สิบแก้ว แต่ด้วยการหยิบไอเดียเล็กๆ มาขยายความ โดยนำเฉาก๊วยขนมโบราณที่ทุกคนรู้จักดีอยู่แล้วมาทดลองใส่ลงในกาแฟ กลายเป็นบันไดสำคัญช่วยผลักดันให้กิจการก้าวติดลมบนมาถึงปัจจุบัน

 
 

 

“เราขายกาแฟนมสด อยู่ 3-4 ปี จนเมื่อ 7-8 ปีที่แล้วกระแสชาไข่มุกบูมในภาคอีสาน คนก็ไปแห่กินแต่ชาไข่มุก เราก็ขายไม่ค่อยดี หลายใครก็บอกให้เปลี่ยนไปขายชาไข่มุกบ้าง แต่เราก็มีจุดยืนของตัวเองที่ชื่นชอบกาแฟ จนเกิดความบังเอิญที่เป็นคนชอบกินเฉาก๊วย แต่ไม่ชอบกินใส่น้ำตาล ก็เลยเอามาใส่นมสดกินดู ปรากฎว่าอร่อยดี จากนั้น ก็ลองใส่ในกาแฟก็ยิ่งอร่อยมากขึ้นอีก เลยคิดทำขาย เพราะต้องการขายความแปลกใหม่ ร้านทั่วไปมีไข่มุก แต่ของเรามีเฉาก๊วย ใส่ได้ทั้งนม ชา และกาแฟ แถมเฉาก๊วยยังเป็นสมุนไพรมีสรรพคุณทางยาด้วย” รุ่งอรุณ เผย

       

ไอเดียที่แตกต่าง ส่งให้ร้าน ‘รุ่งบ้านกาแฟ’ มีความคึกคักและขายดีขึ้นเรื่อยๆ ขนาดบางวันลูกค้าต้องเข้าคิวรอซื้อ จนต้องทำบัตรคิวจำนวนกว่าสองร้อยใบ ซึ่งชื่อเสียงได้กระจายไปเรื่อยๆ จนก้าวเป็นเจ้าดังประจำท้องถิ่น และยังเป็นที่รู้จักข้ามไปยังจังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย 

       

รุ่งอรุณ เผยด้วยว่า ปัจจุบัน ทางร้านจะผลิตเฉาก๊วยเอง ส่วนสูตรกาแฟของร้านเกิดจากการสะสมประสบการณ์ จนได้เป็นสูตรเฉพาะของร้าน มีความหลากหลายของรสชาติ มีทั้งหมด 12 เมนูด้วยกัน เช่น กาแฟสูตรนม สูตรเข้มข้น ชานมเย็น ชาเขียว โกโก้ เป็นต้น ราคาทั่วไปแก้วละ 25 บาท ใส่เฉาก๊วย และใส่น้ำผึ้ง จะเพิ่มแก้วละ 5 และ 10 บาทตามลำดับ มียอดขายเฉลี่ยกว่า 5-7 พันบาทต่อวัน

 

 
 

ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ กับภาพที่ลูกค้าออแน่นร้านแทบทั้งวัน ที่ผ่านมาจึงมีผู้สนใจติดต่อขอซื้อสูตร และซื้อแฟรนไชส์จำนวนมาก จนเมื่อต้นปี 2554 ได้แตกไลน์ธุรกิจสร้างอาชีพให้แก่ผู้สนใจในรูปแบบกึ่งแฟรนไชส์ นับถึงปัจจุบัน มีกว่า 62 สาขาแล้ว กระจายอยู่ใน จ.ร้อยเอ็ด และใกล้เคียงทั้งในภาคอีสาน และเหนือ

       

รุ่งอรุณ เผยด้วยว่า งบการลงทุนแฟรนไชส์ “รุ่งบ้านกาแฟ” อยู่ที่ 53,500 บาท ผู้ลงทุนจะได้รับซุ้มไม้พร้อมป้ายชื่อ และอุปกรณ์ขายครบทุกรายการ พร้อมรับวัตถุดิบครั้งแรกประมาณ 15,000 บาท สัญญาแฟรนไชส์จะซื้อขายครั้งเดียว สามารถขายได้ตลอดชีวิต ไม่มีเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติม ไม่ต้องเสียค่าแฟรนไชส์รายปี และไม่ต้องแบ่งรายได้จากยอดขาย

ทว่า มีเงื่อนไขสำคัญต้องซื้อวัตถุดิบหลักจากส่วนกลางเท่านั้น ซึ่งจะขายเป็นชุด ประกอบไปด้วย 1.แก้ว 2.ผงส่วนผสมสูตรต่างๆ และ 3.เฉาก๊วย ไม่สามารถแยกซื้ออย่างใดอย่างหนึ่งได้ เพราะทั้ง 3 วัตถุดิบหลักถูกคำนวณสัดส่วนไว้หมดแล้ว ซึ่งส่วนผสมในการทำเครื่องดื่มรสต่างๆ ใช้วิธีชั่งตวงวัดใส่ลงในถ้วยบรรจุอย่างเรียบร้อย ผู้ขายเพียงตักส่วนผสมประกอบในสัดส่วนที่กำหนด จะได้รสชาติเหมือนเดิมทุกครั้ง ตามแบบต้นฉบับทุกสาขา

 

 
 

       

เจ้าของร้านกาแฟดัง เผยด้วยว่า ผู้ขายจะมีกำไรประมาณ 10 บาทต่อแก้ว ยอดขายโดยเฉลี่ยของสาขาประมาณ 200 แก้วต่อวัน อัตราคืนทุนอยู่ที่ทำเล และค่าเช่า โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3-4 เดือน ส่วนอัตราการปิดกิจการถือว่าน้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากสาเหตุสินค้าขายไม่ได้ แต่มาจากตัวผู้ขายเองขาดความพร้อม

       

“ทุกวันนี้ มีผู้สนใจจ่อจะขอเปิดสาขาเพิ่มค่อนข้างเยอะ แต่เราพยายามขยายสาขาในจำนวนที่ดูแลได้ทั่วถึง รวมถึง ต้องพิจารณาเรื่องทำเล และระยะห่างของแต่ละสาขา ป้องกันปัญหาแย่งลูกค้ากันเอง ดังนั้น การขยายจำนวนมากจึงไม่ใช่เป้าหมายหลัก เพราะที่ผ่านมา ก็ถือว่าสำเร็จเกินฝันมามากแล้ว” รุ่งอรุณ ระบุ

 

 
 

 ลงทุนอาชีพ “รุ่งบ้านกาแฟ”

สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร.08-4034-1344, 08-8510-0997
 

อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์