|
19 เมษายน 2555 |
อีซี่ส์ฯ ยกเครื่องร้านมอร์เก้นจับคนรวย
อีซี่ส์ฯ เดินหน้ารุกตลาดร้านอาหารต่อเนื่อง ล่าสุดยกเครื่องร้านมอร์เก้นฯ จับกลุ่มคนรวย หวังเพิ่มยอดใช้จ่ายแตะ 300 บาทต่อบิล พร้อมขยายสาขาอีซี่ส์ เล็งคิทเช่น ในรูปแบบแฟรนไชส์เพิ่ม เล็งทบทวนแผนธุรกิจรับมือต้นทุนสินค้าขึ้น
นางพัชราวดี หมื่นนิกร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อีซี่ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล แฟรนไชส์ จำกัด ผู้บริหารแฟรนไชส์ อีซี่ส์ คิทเช่น , มอร์เก้น เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทปรับตำแหน่งของผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ รีโพสิชันนิงร้านมอร์เก้น บาย อีซี่ส์ ให้เป็นมอร์เก้น แคทชวล เรสเตอรองส์ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น โดยกลยุทธ์ดังกล่าวเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มยอดการใช้จ่ายของลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้นเป็น 300 บาทต่อบิล จากเดิมเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับกลางล่างที่มีการใช้จ่ายต่อบิลประมาณ 200 บาท
การปรับดังกล่าวทำให้ การลงทุนเปิดสาขาใหม่จะต้องใช้งบประมาณมากขึ้นเป็นเท่าตัวราว 5-6 ล้านบาท จากเดิมใช้งบประมาณ 2.5-3 ล้านบาทต่อสาขา และพื้นที่ร้านจะเพิ่มเป็น 100-120 ตารางเมตรจากเดิม 50-60 ตร.ม. ซึ่งภายในปีนี้คาดว่าจะทยอยปรับสาขาเดิม 7-8 แห่ง ให้เป็นรูปแบบใหม่ทั้งหมด
"แม้ว่ามอร์เก้นจะมีสาขาภายในห้างโมเดิร์นเทรด และเจาะลูกค้าระดับกลาง-ล่าง แต่ที่ผ่านมาพบว่าฐานลูกค้าเป็นคนที่มีกำลังซื้อสูงและเป็นวัยทำงาน และกลุ่มครอบครัวซึ่งมีการใช้จ่ายต่อบิลเพิ่มขึ้น บริษัทจึงปรับคอนเซ็ปต์และรีโพสิชันนิงร้านมอร์เก้นให้ดูมีระดับมากขึ้น และเพิ่มเมนูสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อรองรับกับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มรายรับให้กับทางร้านได้ด้วย เพราะการปรับดังกล่าวจะทำให้ร้านสามารถปรับราคาเมนูอาหารรายการต่างๆให้สูงขึ้นด้วย"
นางพัชราวดี กล่าวอีกว่า แผนดังกล่าวทำให้บริษัทอยู่ระหว่างทบทวนแผนการขยายสาขาของร้านมอร์เก้นในปีนี้ ส่วนร้านอีซี่ส์ คิทเช่น ตั้งเป้าจะขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์เพิ่ม 16 แห่ง งบลงทุนประมาณ 1-2 แสนบาทต่อสาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 44 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทจะใช้งบประมาณ 5% ของยอดขาย เพื่อทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ร้านอาหาร รวมทั้งผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเยอรมันแบรนด์อีซี่ส์มากขึ้น เพื่อแข่งกับไส้กรอกอินเตอร์แบรนด์อื่นๆ
ทั้งนี้ จากนโยบายการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน วัตถุดิบและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นแล้วเกือบ 20% บริษัทจึงต้องบริหารจัดการต้นทุนรวมไม่ให้มีสัดส่วน 35-40% เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาสินค้า โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างเมนูอาหารภายในร้าน เป็นสปาเกตตีไส้กรอก เพิ่มมันบด และจะมีการนำสินค้ากลุ่มอื่น เช่น ซีฟู้ด มาทำโปรโมชันมากขึ้นทดแทนไส้กรอกหมูและไก่ เพื่อรักษาระดับต้นทุนให้ต่ำ
"บริษัทยังไม่มีแผนจะปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด โดยขณะนี้ไส้กรอกยังจำหน่ายในราคาเดิม 10-20 บาท และไส้กรอกพรีเมียมราคา 40-50 บาท หากต้นทุนการผลิตโดยรวมสูงกว่า 35-40% ก็จะขอขึ้นราคาสินค้า แต่แนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบในปีนี้โดยเฉพาะหมูและไก่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นแน่นอน ประกอบกับค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มเป็น 300 บาทต่อวัน ก็กระทบต่อโรงงานการผลิตไส้กรอกซึ่งมีการใช้คนงานนับร้อยคน"
ส่วนช่วงที่ต้นทุนสินค้าพุ่งขึ้นบริษัทมีการคุยกับลูกค้าเพื่อขอปรับขึ้นราคาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่นที่ผ่านมาราคาขายส่งอยู่ที่ 12.50 บาท ก็เพิ่มเป็น 13.50 บาท ส่วนเนื้อหมูเพื่อทำสเต๊กขนาด 110 กรัม ก็ปรับขึ้นจาก 20 บาท เป็น 30 บาทต่อชิ้น และเกรดสูงจะปรับจาก 60 เป็น 70 บาทต่อชิ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากภาพรวมในไตรมาสแรกยอดขายบริษัทมีการเติบโตราว 10-15% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้บริษัทอยู่ระหว่างทบทวนแผนธุรกิจใหม่ แต่ทั้งปีคาดว่าจะมียอดขายเติบโตขึ้น 20%
อ้างอิงจาก ฐานเศรษฐกิจ
|
|
|
|
|
|