|
|
25 สิงหาคม 2555 |
แตกไลน์ธุรกิจก้าวใหม่ เจเนอเรชัน2 ใบหยก
ปิยะเลิศ ใบหยกปิยะเลิศ ใบหยกหลังจากทุ่มเทกับการบริหารโรงแรมเครือใบหยก ในฐานะคนรุ่นใหม่มาพักใหญ่ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงแรมใหม่ในเครือหลายแห่ง ล่าสุด"ปิยะเลิศ ใบหยก" ยังไอเดียกระฉูด กับการนำใบหยก กรุ๊ป ก้าวสู่ธุรกิจร้านอาหารสแตนด์อะโลน ในประเทศไทย
ด้วยการเปิดบริการ ร้านอาหาร Gyu-Kaku (กิว-คาขึ) ร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์ยาคินิขึ ซึ่งได้รับความนิยมสูงในประเทศญี่ปุ่น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งโครงการลงทุนอีกร่วมพันล้านบาทของใบหยก กรุ๊ปที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง อ่านได้จากสัมภาษณ์นายปิยะเลิศ ใบหยก รองประธานกลุ่มโรงแรมใบหยก
ธุรกิจร้านอาหารที่ผ่านมา ใบหยก กรุ๊ป จะมุ่งขยายการให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม ภายในห้องอาหารต่างๆในโรงแรมใบหยก สกายเป็นหลัก และเปิดร้านอาหารไทยในประเทศเกาหลีภายใต้ชื่อไทยออร์คิด มานานแล้ว แต่ในขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขยายการลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหารในลักษณะสแตนด์อะโลน ในประเทศไทย เพราะมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ภายใต้บริษัทพีดีเอส โฮลดิ้ง จำกัด และถือว่าเป็นการขยายไลน์ธุรกิจใหม่ของใบหยก กรุ๊ป
"ผมบินเดี่ยวเข้าไปเจรจากับผู้บริหารร้านอาหารGyu-Kaku (กิว-คาขึ) ร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์ยาคินิขึ ที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศญี่ปุ่น มีจำนวนมากถึง 700 สาขาในญี่ปุ่น และขยายไปอีก 25 เมืองทั่วโลก ทั้งในนิวยอร์ก แคลิฟอร์เนีย ฮาวาย ฮ่องกง ไต้หวัน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เพื่อติดต่อซื้อแฟรนไชส์เข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทย ตอนนั้นก็มีคู่แข่งจากประเทศไทย อย่างเซ็นทรัล และธุรกิจอาหารรายใหญ่หลายรายที่ขนกันมาเป็นทีมเข้าไปเสนอตัวขอซื้อแฟรนไชส์เหมือนกัน แต่ท้ายสุดผู้บริหารญี่ปุ่น ก็เลือกที่จะขายแฟรนไชส์ให้ผม อาจจะเพราะเห็นว่าผมทุ่มเทเอาจริงคุยเองพรีเซนต์แผนเองคนเดียว เลยได้ใจ ทำให้ผมได้สัญญานี้มา ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องเปิดร้านอาหารกิว-คาขึ 3 สาขาภายในเวลา 3 ปี"
ในปีนี้จึงได้เปิดร้านอาหารกิว-คาขึ มาแล้ว 2 สาขา โดยสาขาแรกอยู่ที่ถนนธนิยะ ลงทุนไป 4 ล้านบาทเป็นร้านอาหารขนาด 60 ที่นั่ง เปิดมาเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ พอมาในเดือนพฤษภาคมก็ลงทุนอีกราว 10 ล้านบาท เปิดสาขาสอง ที่ถนนสุขุมวิท 55 หรือทองหล่อ ขนาด 85 ที่นั่ง และขณะนี้กำลังมองที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีกที่อำเภอศรีราชา ขนาด 50 ที่นั่ง น่าจะเปิดได้ก่อนสิ้นปีนี้ และปีหน้าก็มองไปถึงการเปิดร้านนี้แถวๆป่าตอง จังหวัดภูเก็ตด้วย นอกจากนี้การซื้อแฟรนไชส์ร้านอาหารนี้ก็เพื่อเปิดในต่างประเทศด้วย ซึ่งเกาหลี พม่า ก็น่าสนใจ เบ็ดเสร็จแล้วเปิดร้านได้มากกว่าข้อตกลงในแฟรนไชส์เสียอีก
"การลงทุนในธุรกิจนี้ผมมองว่าเป็นการลงทุนน้อย มีลูกค้ามาก คืนทุนได้เร็ว และมีรายได้ที่ดีพอๆ กับการทำโรงแรม แต่ต้องเลือกแบรนด์อาหารให้ถูก เพราะร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยก็มีมากมาย เฉพาะบริเวณถนนทองหล่อก็มีกว่า 30-40 ร้าน ผมจึงมุ่งมั่นมากที่จะนำแบรนด์อาหารนี้เข้ามา เพราะเป็นแบรนด์ที่นิยมมากในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเปิดแล้ว 2 สาขาก็มี รายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งฐานลูกค้ากว่า 70% เป็นคนญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานหรือเที่ยวประเทศไทย เพราะรับรู้ร้านอาหารแบรนด์นี้เป็นอย่างดี ร้านอาหารจึงต้องตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะสม และอีก 30% เป็นลูกค้าคนไทย"
ขณะเดียวกันก็กำลังเน้นขยายฐานลูกค้าคนไทยเพิ่มมากขึ้น ด้วยการโปรโมตจุดเด่นของร้านอาหารกิว-คาขึ คือ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ให้คุณรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการปิ้งย่างอาหาร โดยปราศจากกลิ่นและควันมารบกวน ด้วยระบบดูดควันที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ รับรองได้ว่าลูกค้าจะกลับออกจากร้านไปโดยปราศจากกลิ่นมารบกวนเสื้อผ้าและผม และการใช้ถ่านสำหรับปิ้งย่างที่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดขี้เถ้าน้อยมาก
อีกทั้งจุดเด่นของร้านยังขึ้นชื่อด้านคุณภาพการคัดสรรเนื้อสัตว์ทุกชนิดที่นำมาเสิร์ฟลูกค้า ที่จะเสิร์ฟเป็นจาน a la carte ตามสั่งหรือเซต ซึ่งเมนูแนะนำคือ เนื้อวากิว คารุบิ คัดพิเศษนำเข้าจากญี่ปุ่น และมีกระบวนการสั่งของและเก็บรักษาเพื่อคงความสดใหม่ของวัตถุดิบ น้ำจิ้มสูตรพิเศษจากญี่ปุ่น รวมถึงเมนูอาหารสูตรดั้งเดิมของญี่ปุ่นและเอเชีย เฉลี่ยลูกค้าจะมีการใช้จ่ายอยู่ที่ราว 1 พันบาทต่อคน
นอกจากร้านอาหารกิว-คาขึ แล้ว ยังมองว่าจะเปิดร้านสไตล์ IZAKAYA ที่เป็นร้านขายเหล้าพร้อมกับแกล้ม จะเปิดบริเวณถนนสุขุมวิท เพราะลูกค้าหลักจะเป็นญี่ปุ่น ซึ่งร้านในแบบนี้จะมีการใช้จ่ายของลูกค้าอยู่ที่ราว400-500 บาทต่อคน
อ้างอิงจาก ฐานเศรษฐกิจ
|
|
|
|
|
|
|
|
157,519
