แฟรนไชส์โคขุนโพนยางคำ ชูธงอีสานปิ้งย่างแซบขึ้นห้าง
ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ธุรกิจร้าน “โคขุน โพนยางคำ เกษตร-นวมินทร์” หรือแบรนด์อย่างเป็นทางการว่า “PYK” สร้างกระแสนิยมเนื้อโคไทยรสเลิศ มาพร้อมเมนูอีสานฟิวชันหลากหลาย ส่งให้กิจการเติบโตรวดเร็ว ขยายแล้วถึง 12 สาขา และยังเป็นร้านอาหารแนวนี้เจ้าเดียวที่ยกระดับสู่ห้างสรรพสินค้าได้ นอกจากนั้นยังต่อยอดขายแฟรนไชส์เพื่อสร้างเครือข่าย เสริมความแข็งแรงแก่ธุรกิจ
ทั้งหมดบุกเบิกโดยนักธุรกิจหนุ่ม “กฤตพล คงตระกูลชัย” ที่มีประสบการณ์เคยทำร้านอาหารมากว่า 20 ปี ทั้งสำเร็จและล้มเหลว จนเมื่อประมาณปี 2551 ปิ๊งไอเดียจากที่เป็นคนชอบกินเนื้อโคมาก เคยลิ้มลองมาหมดทุกชนิด ตั้งแต่เนื้อพื้นบ้านจนถึงเนื้อนำเข้าราคาหลักหมื่น สุดท้ายพบว่า “เนื้อโคขุน โพนยางคำ” นุ่มและอร่อยใกล้เคียงกับเนื้อมัตสึซากะมาก แต่ราคาถูกกว่าถึง 10 เท่า จึงเกิดความคิดเปิดร้านอาหารอีสานแบบปิ้งย่างและฟิวชัน โดยใช้เนื้อโคขุนเป็นพระเอก ผลปรากฏว่าลูกค้าแน่นทุกวัน ทำให้ร้านเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว
กฤตพลระบุจุดเด่นของร้าน คือ คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี ใช้เนื้อโคขุนแท้จาก จ.สกลนคร กับเนื้อโคชั้นดีจากทั่วโลกมาประกอบอาหารต่างๆ กว่า 100 เมนู ควบคู่กับมีสูตรน้ำจิ้มและน้ำซุปของตัวเอง พร้อมวางตำแหน่งทางตลาดเหมาะสม แทรกตัวอยู่ตรงกลางพอดีระหว่างร้านอาหารแนวปิ้งย่างแบบเกาหลีหรือญี่ปุ่น กับร้านบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ทำให้ไร้คู่แข่งโดยตรง ทำให้เป็นร้านอาหารแนวนี้เจ้าเดียวในปัจจุบันที่ได้รับสิทธิ์เปิดในห้างสรรพสินค้า
บรรยากาศภายในร้าน อีกจุดขายใช้ระบบเสิร์ฟอาหารบนสายพาน ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของญี่ปุ่นผสมกับเยอรมนี ช่วยสร้างความแปลกใหม่และทันสมัย อีกทั้งประหยัดต้นทุนพนักงาน
ปัจจุบัน ร้านมีทั้งหมด 12 สาขา ส่วนใหญ่อยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ แบ่งเป็นร้านของตัวเอง 10 แห่ง ส่วนอีก 2 แห่งเป็นแฟรนไชส์ ซึ่งเหตุผลในการขายแฟรนไชส์นั้น เขาบอกว่า มีผู้สนใจเรียกร้องมาจำนวนมาก ประกอบกับเมื่อลองศึกษาระบบแฟรนไชส์ทำให้เห็นข้อดีที่จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองซื้อวัตถุดิบได้ถูกลง และช่วยสร้างเครือข่ายธุรกิจให้กว้างขวางและแข็งแรงยิ่งขึ้น จึงเริ่มพัฒนาระบบแฟรนไชส์อย่างจริงจังภายใต้การดูแลของที่ปรึกษามืออาชีพ ก่อนปล่อยแฟรนไชส์จริงเมื่อต้นปี 2556 ที่ผ่านมา
สำหรับรูปแบบการลงทุนนั้น เจ้าของธุรกิจแจงว่า ต้องเป็นลักษณะร้านขนาด 118-200 ตารางเมตร เงินลงทุนเป็นค่า Franchise Fee 750,000 บาท ค่า Royalty Fee 4% ของยอดขาย ค่า Corporate Marketing Fee 3% ของยอดขาย และค่าตกแต่งร้าน อุปกรณ์ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ และรูปแบบร้าน เบ็ดเสร็จผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องลงทุนประมาณ 5-10 ล้านบาท
เขาอธิบายต่อว่า สิ่งที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับ เช่น ใช้แบรนด์และระบบเดียวกัน การฝึกอบรมบริหารร้าน และพนักงาน การส่งเสริมการตลาด ขณะที่การหาทำเลที่ตั้งนั้นบริษัทได้รับสิทธิ์มีพื้นที่รองรับให้เปิดในห้างเซ็นทรัล และเดอะมอลล์ได้ทุกสาขา รวมถึงคอมมูนิตีมอลล์อีกหลายแห่ง
ส่วนการควบคุมมาตรฐานแฟรนไชส์นั้น ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ตรวจสอบแบบออนไลน์ครบวงจรตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการสั่งวัตถุดิบ การสต๊อกวัตถุดิบ ยอดขาย ฯลฯ ช่วยให้ดูแลแต่ละสาขาได้ทั่วถึง อีกทั้งมีระบบ “ครัวกลาง” ส่งวัตถุดิบให้สาขาต่างๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง อย่างเนื้อจะเป็นเนื้อแช่แข็ง สามารถเก็บไว้ได้นาน 6-12 เดือน ส่วนเครื่องปรุงต่างๆ ไม่ว่าจะน้ำจิ้ม น้ำปรุงรสต่างๆ ฯลฯ ทำลักษณะกึ่งสำเร็จรูป เพียงแค่ฉีกซองสามารถไปประกอบอาหารแต่ละเมนูได้ทันที ทุกคนสามารถทำได้แบบง่ายๆ ช่วยตัดปัญหาพ่อครัวแม่ครัวลาออก
กฤตพลบอกด้วยว่า สำหรับผู้อยากจะลงทุนแฟรนไชส์ควรมีทุนส่วนตัวอย่างน้อย 30% ของเงินทุนทั้งหมด โดยข้อมูลเฉลี่ยในการเปิดร้านที่ผ่านมา ลูกค้าจะเข้าร้านประมาณ 200-300 คนต่อวัน แต่ละคนจะใช้จ่ายประมาณ 300-500 บาท เบ็ดเสร็จหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว ทั้งค่าวัตถุดิบ ค่าเช่า ค่าพนักงาน ฯลฯ จะเหลือกำไรสุทธิประมาณ 25% จากยอดขาย จากสถิติที่ผ่านมาสาขาที่ขายดีที่สุดคือ แฟชั่นไอส์แลนด์ อยู่ที่ 4.4 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนสาขาที่ยอดต่ำสุดคือเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ 1.4 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าว ผู้ซื้อแฟรนไชส์มีอัตราคืนทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 2 ปี
“จากที่ผมเคยทำธุรกิจร้านอาหารมา ถ้าคุณทำเอง โอกาสสำเร็จ 30% แต่ระบบแฟรนไชส์จะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จเป็น 70% ซึ่งผมจะนำประสบการณ์ของผมมาช่วยให้แฟรนไชซีประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน คุณไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ทำร้านอาหารมาก่อนก็ได้ ขอแค่มุ่งมั่นทำจริง และเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ผมเปรียบการซื้อแฟรนไชส์เหมือนการนั่งรถทัวร์ไปต่างจังหวัด ก่อนจะขึ้นคุณควรตรวจสอบประวัติคนขับให้ดีเสียก่อน พอตัดสินใจที่จะขึ้นแล้วขอให้คุณเชื่อมั่นว่าเขาจะพาคุณไปสู่จุดหมายได้ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อมั่นก็อย่าตัดสินใจขึ้นรถเลย” กฤตพลกล่าว