ในการเปิดร้านที่กัมพูชานั้น มีแค่ 8 ไส้ มี ฝอยทอง เนยสด สังขยา เผือก ผลไม้รวม ฯลฯ สาเหตุที่มีแค่ 8 ไส้นั้น คุณกัญญาชญา แจกแจงว่า เพราะว่าลูกค้าชาวกัมพูชายังไม่รู้จักขนมปังชนิดนี้มาก่อนเลย ด้วยพื้นฐานของชาวกัมพูชาจะคุ้นเคยกับขนมปังแบบฝรั่งเศส แข็งๆ ยังไม่เคยเจอขนมปังเนื้อนิ่มแบบนี้ และด้วยความที่ภาษายังไม่เก่ง การที่จะให้อธิบาย 20 กว่าไส้เป็นเรื่องยากมาก อย่าง ฝอยทอง คนกัมพูชาก็ไม่รู้จัก กว่าจะสื่อสารกันเข้าใจก็ต้องใช้เวลา
ร้านที่พนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ใกล้กับตลาดโอลิมปิก อันอยู่ในย่านธุรกิจนั้น เปิดขายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเธอขายก้อนละ 1 เหรียญยูเอสดอลลาร์ เป็นเงินไทยตก 30 บาท เงินกัมพูชา 4,000 เรียล
ในราคาที่ว่านี้ คุณกัญญาชญา ระบุว่า ถือเป็นขนมปังที่ราคาแพง ถ้าเทียบกับขนมปังที่นั่น ซึ่งเป็นขนมปังแบบไม่มีไส้ เป็นขนมปังเปล่า แข็งๆ ลูกค้าของเธอนั้นส่วนใหญ่เป็นคนกัมพูชารุ่นใหม่ อายุไม่ถึง 30 แต่ถ้าเป็นรุ่นเก่าจะติดกับวัฒนธรรมเดิมๆ ยังไม่คุ้นกับขนมปังรูปแบบนี้ ซึ่งคนกัมพูชามักชอบซื้อไส้สังขยา ฝอยทอง เพราะว่าไม่เคยกินมาก่อน พอกินแล้วก็ชอบ แต่ถ้าเป็นพวก แฮม ชีส ไส้กรอก ที่เป็นแบบฝรั่ง จะไม่ชอบ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกัน
ในการบริหารจัดการร้านที่กรุงพนมเปญนั้น เจ้าของ ปัง จ๊ะ จ๋า ให้ข้อมูลว่า เริ่มแรกได้ไปลงมือทำเองพร้อมกับลูกน้องคนไทย 3 คนไปๆ มาๆ ไม่ได้ส่งคนไปอยู่ประจำ แล้วรับสมัครคนที่พนมเปญมาฝึกงาน ปัจจุบันมีพนักงานคนกัมพูชาสามารถทำเองได้แล้ว ทุกวันนี้ จะไปเช็กคุณภาพ ตรวจสต๊อก ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง โดยปัจจุบันมียอดขายวันละประมาณ 400-500 ก้อน เพราะถือว่ายังเป็นของใหม่
ขายแฟรนไชส์เปิดที่ย่างกุ้ง
ส่วนที่จะไปเปิดร้านที่ย่างกุ้งนั้น เพราะเธอเจอลูกค้าสาขาเสนานิคม 1 แล้วสนใจอยากจะเปิด เลยตัดสินใจขายแฟรนไชส์ให้ไปเลย ใช้ชื่อ “ปัง จ๊ะ จ๋า” โดยมีเงื่อนไขว่าทางคุณกัญญาชญาต้องเดินทางตรวจสอบคุณภาพเอง ซึ่งที่พม่านั้นเจ้าตัวบอก ไม่น่าห่วง ทางร้านมีประสบการณ์จากกรุงพนมเปญแล้ว แต่คงยังต้องขนวัตถุดิบจากไทยไปหมดในช่วงแรกเลย หากซื้อวัตถุดิบที่นั่นได้ก็จะซื้อ
ในการทำไส้นั้น คุณกัญญาชญา แจงว่า ที่พม่ามีผลไม้สดเยอะ เช่น มะม่วง องุ่น แอปเปิ้ล คิดว่าจะทำเป็นไส้สดๆ เหมือนกล้วยกวน คิดว่า วัตถุดิบที่พม่าจะถูก และหาง่าย เหมือนทุกวันนี้วัตถุดิบบางอย่างเป็นผลไม้ ที่ใช้ก็นำเข้ามาจากจีน เวียดนาม
นอกจากที่กรุงพนมเปญและที่ย่างกุ้งแล้วก็ยังมีลูกค้าต่างชาติสนใจจะให้ไปเปิดอีกหลายที่ อาทิ โฮจิมินห์ซิตี้ ประเทศเวียดนาม ลูกค้ามาชิมแล้วชอบ ซึ่งรายนี้อยู่ระหว่างการเจรจากัน เห็นการเติบโตของ ปัง จ๊ะ จ๋า แล้ว เชื่อว่าคงมีผู้สนใจจำนวนไม่น้อยที่อยากจะซื้อแฟรนไชส์ ประเด็นนี้ คุณกัญญาชญา ตอบว่า “ยังไม่ได้คิดว่าจะเน้นขายแฟรนไชส์ในตอนนี้ ส่วนในอนาคตคิดว่าต้องรอให้เราแข็งกว่านี้ก่อน”
ถามถึงการขยายสาขาในปีนี้ที่เมืองไทย คุณกัญญาชญายอมรับว่า ปัจจุบันค่อนข้างยาก เนื่องจากมีคู่แข่งเยอะแต่ในปีนี้ก็วางแผนจะเปิดอีก 1 สาขา อยู่ระหว่างการหาสถานที่ ขณะที่ในต่างประเทศน่าสนใจกว่าเพราะได้ประสบการณ์ใหม่และยังได้เที่ยวไปในตัวด้วย
เน้นคุณภาพ-ยอดขาย
คุณกัญญาชญาเปรียบเทียบความแตกต่างในการทำธุรกิจในประเทศกับต่างประเทศว่า “ความยากง่ายในเรื่องของงานไม่ต่างกัน แต่ว่าเรื่องภาษา เรื่องวัฒนธรรม ต้องไปศึกษา อย่างเมืองไทยเราโตที่นี่เราก็จะรู้ว่าเป็นยังไง แต่ที่นั่นเราไม่เคยไปก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง เพราะฉะนั้น ต้องไปศึกษาวัฒนธรรม พฤติกรรมของคนที่นั่น”
เธอแจกแจงถึงหลักการทำธุรกิจว่า “เน้นคุณภาพอย่างเดียวเลย ดิฉันถือว่าถ้าเรากินได้ คนอื่นก็กินได้ ไม่ใช่ว่าเน้นขายอย่างเดียวแล้วเราไม่กิน ก็ไม่ใช่ ที่ผ่านมาการขายในราคาก้อนละ 20 บาท คือ ต้องเน้นยอดขายจริงๆ ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ เพราะตอนนี้วัตถุดิบแพงทุกอย่างเลย แต่ก็ยังไม่คิดจะขึ้นราคา คือได้น้อยหน่อย แต่ต้องขยันมากขึ้น จุดขายคือ ถ้าขายปริมาณเยอะก็จะมาเป็นถัวเฉลี่ยได้”
นับเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่อีกคนที่มีอนาคตสดใส เชื่อว่าอีกไม่นานเราๆ ท่านๆ คงจะได้เห็นสาขาของร้าน ปัง จ๊ะ จ๋า ในกลุ่มอาเซียนอีกหลายประเทศ
หากท่านผู้อ่านท่านใดสนใจในธุรกิจ หรือต้องการคำแนะนำ สามารถติดต่อปรึกษาได้ที่ คุณกัญญาชญา พรหมมา ได้ที่ E-mail : kanyachaya@hotmail.com หรือ โทรศัพท์ (087) 773-0643
อ้างอิงจาก มติชน เส้นทางเศรษฐี