|
|
27 กันยายน 2560 |
พนักงานคือพระเจ้า สูตรลับฉบับซีอีโอ 'โอ บอง แปง'
เราต้องทำให้พนักงานรู้สึกว่าตัวเขามีอำนาจ มีความหมาย ไม่ใช่แค่ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน สิ้นเดือนรับเงินเดือน
จากธุรกิจที่กำลังติดหล่มปัญหา ทว่าที่สุด โอ บอง แปง (ประเทศไทย) สามารถพลิกสถาณการณ์กระทั่งทะยานสู่ความเป็น "ซูเปอร์สตาร์" มิหนำซ้ำยังกลายเป็นกรณีศึกษาขั้น Best Practice ระดับโลก
เนื่องจากปัจจุบัน โอ บอง แปง (ประเทศไทย) คือแฟรนไชซี่ที่ทำสถิติ สามารถขยายสาขาได้มากที่สุดในโลก จำนวน 60 สาขา อีกทั้งยังมีบรรยากาศร้านที่สวยงามเมื่อเทียบกับสาขาที่ตั้งในประเทศต่างๆ ซึ่งอาจดูคลับคล้ายกับแคนทีน (ด้านยอดขายยังรั้งอยู่ในอันดับสองเป็นรองแฟรนไชซี่ รัฐไมอามี่ ประเทศอเมริกาซึ่งมีทั้งหมด 20 สาขา ด้วยมีกำลังซื้อที่สูงกว่า)
ด้วยผลงานที่โดดเด่น ล่าสุด โอ บอง แปง (ประเทศไทย) จึงได้รับความวางใจจากบริษัทแม่ ให้เป็นผู้รับสิทธิ์ในการขยายสาขาแฟรนไชส์ไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียน อาทิ ลาว เวียดนาม เขมร และพม่า
หากถามว่าอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จ คำตอบแบบฟันธงสั้นๆ ง่ายของซีอีโอนามว่า "นาดิม ซาเวียร์ ซาลฮานี" ก็คือ เกิดจากพนักงานทุกคน
ปัจจุบัน นาดิม ทำหน้าที่บริหารแบรนด์ ร้านอาหารโอ บอง แปง ,ร้านดังกิ้น โดนัทและไอศกรีมบาสกิ้น ร้อบบิ้นส์ ซึ่งแต่ละแบรนด์อยู่ภายใต้ บริษัท เอบีพี คาเฟ่ (ประเทศไทย), บริษัท โกลเด้น โดนัท (ประเทศไทย) และบริษัท โกลเด้น สกู๊ป จำกัด ตามลำดับ
เมื่อสูตรความเชื่อมีอยู่ว่าความสำเร็จเกิดขึ้นจากพนักงาน ซีอีโอท่านนี้จึงมุ่งให้ความสำคัญกับพนักงานมากถึงมากที่สุด
"ในอดีตธุรกิจมักมองว่าลูกค้าคือพระเจ้า แต่ผมว่าเราต้องมองพนักงานเป็นพระเจ้า เพราะแม้ว่าในฐานะซีอีโอผมคงทำงานทุกอย่างคงไม่ได้ ซีอีโอเป็นคนวางเป้าหมาย และทิศทางของบริษัท แต่ทุกอย่างคงไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ถ้าไม่มีคนช่วย"
ความร่วมไม้ร่วมมือนั้น เกิดมาจากการสร้าง Passion หรือความหลงใหล ลุ่มหลงในการทำงาน ให้กับพนักงานทุกคน
"ถ้าเราสร้างให้เกิดขึ้นได้ ทำให้เขาตื่นเต้นมีความสุขในการทำงานได้ ผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นยอดขาย กำไร ทุกๆ อย่างอื่นมันจะตามมาเอง"
แม้ว่าเงินมีความสำคัญ แต่เงินก็ไม่ใช่พระเจ้า และไม่ใช่เป็นหัวใจหลักในการสร้าง Passion
นาดิมบอกว่า บริษัทต้องแสดงถึงความจริงใจให้เหล่าพนักงานได้เห็นว่าบริษัทไม่ได้จดจ้องแต่เรื่องของกำไรและมุ่งใช้พวกเขาให้ทำงานเหมือนเครื่องจักรกลเพื่อให้ได้มาเท่านั้น อีกทั้งความรู้สึกดีๆ ของพนักงานนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่มักมาจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่บริษัทสามารถหยิบยื่นให้ได้โดยไม่ต้องลังเล ตัวอย่างเช่น การให้สิทธิ์ซื้อเครื่องดื่มที่มีราคาถูกกว่าท้องตลาด เป็นต้น
"ธุรกิจเราอัตราการลาออกของพนักงานที่อยู่ประจำสาขาสูงมาก อย่างของโอ บอง แปง มีตัวเลขการลาออกอยู่ที่ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์แต่ในระดับนี้ถือว่าเก่ง เพราะโดยทั่วไปก็จะกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ทั้งสิ้น"
แต่ข่าวดีสำหรับเขาก็คือ อีกไม่ช้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซีกำลังจะเปิดตัว แน่นอนปัญหาการขาดแคลนแรงงาน หรือการลาออกน่าจะจบสิ้นลง
นาดิมกล่าวว่า ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย จากการขับเคลื่อนของเทคโนโลยีและดิจิทัล วิธีสร้าง Passion จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปเช่นกัน
"ผมว่าโลกปัจจุบันคงไม่มีความจำเป็นที่พนักงานต้องทำงานในออฟฟิศเพราะทุกอย่างเป็นโมบายแล้ว ถ้าผู้บริหารสามารถเข้าใจในเรื่องนี้ได้ และเปลี่ยนนโยบายพยายามทำให้วิธีทำงานมัน Modernize เป็นไปได้ว่าอนาคตอันใกล้ บริษัทของผมจะไม่มีออฟฟิศใหญ่โต ไม่มีโต๊ะทำงาน"
ถ้าซีอีโอคนไหน คิดไม่ทัน หรือ ไม่คิดเปลี่ยน ก็เท่ากับเฟล
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรต้องปรับตัวเพื่อรับกับคนเจนเนอเรชั่นใหม่ที่ขี้เบื่อ และให้น้ำหนักกับคำว่า Work-life Balance
"คนรุ่นใหม่ไม่ได้คิดเหมือนเรา ถ้าคุณไม่ดูแลพวกเขาดีๆ ไม่ทำให้พวกเขาทำงานอย่างสนุก อีกทั้งงานก็มี Pressure เกินไป เขาก็ไม่จำเป็นที่จะอยู่กับคุณ เพราะทุกวันนี้ใครๆ ก็เป็นผู้ประกอบการเองได้หมด ในเมื่อการเปิดอินเตอร์เน็ตขึ้นมาเพื่อขายอะไรสักอย่างมันทำได้ง่ายมากๆ"
อีกเรื่องที่นาดิมให้ความสำคัญก็คือ Empower หรือ มอบอำนาจการทำงาน
ซีอีโอ ที่ดีไม่ควรบ้าอำนาจ หรือหวงอำนาจ
ดังนั้น ซีอีโอต้องถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ให้พนักงานได้รับฟัง ไม่มีความลับ ไม่มีการกั๊กเคล็ดลับด้วยกลัวคนจะขึ้นมาชิงตำแหน่ง
"วัฒนธรรมองค์กรของเราต้องเป็นแบบครอบครัวที่เปิดกว้าง ให้พนักงานของเราได้รับรู้ทุกเรื่อง ไม่ใช่เรื่องนี้ก็ห้ามบอก เรื่องนั้นก็ห้ามบอก แล้วใครจะทำงานให้คุณ เรื่องทุกเรื่องที่เขารับผิดชอบเขาต้องรู้หมด เราต้องให้อำนาจเขา และแต่ละเดือนก็มาคุยกัน ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทำไม อย่างไร และเราต้องช่วยชี้แนะ เราต้องทำให้เขารู้สึกว่าตัวเขามีอำนาจ ตัวเขามีความหมาย ไม่ใช่แค่ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน สิ้นเดือนรับเงินเดือนแล้วก็จบ "
ซีอีโอ ต้องทำหน้าที่สร้างผู้นำ และ Successor
"เพราะวันหนึ่งที่ผมไม่อยู่ บริษัทจะต้องเดินเองได้ เพราะถ้าออกแล้วบริษัทอยู่ไม่ได้ คนอื่นทำงานไม่ได้ ถือว่าเฟลมากๆ "
นาดิม บอกว่า เขาจะทำตัวเองเปรียบเป็นเหมือนโค้ชให้กับผู้ที่จะขึ้นมาเป็นจีเอ็มในแต่ละแบรนด์
"ตอนนี้ผมมีจีเอ็มคนใหม่ที่มาดูบาสกิ้น ร้อบบิ้นส์ ผมจะทำงานกับเขาแบบเพื่อนคู่หูเลย ผมต้องทำให้เขาเห็นและเข้าใจถึงวิสัยทัศน์ ความคิด การทำงาน และการตัดสินใจของผม รวมถึงทิศทางในการขับเคลื่อนธุรกิจ"
เป็นผู้นำต้องอย่ากลัวการตัดสินใจ
นาดิมบอกว่า เรื่องแรกที่เขาจะย้ำกับคนในระดับผู้บริหารก็คือ ต้องอย่ากลัวที่จะตัดสินใจ เพราะการตัดสินใจผิดไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เพราะเขาจะให้โอกาสในการปรับปรุงและแก้ตัวใหม่
"ระดับผู้บริหารเรื่องตัดสินใจนั้นสำคัญ แต่คนไทยจะระวังกันมากในเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าถ้าผิดก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่สำหรับธุรกิจร้านอาหารแบบเราต้องอาศัยการตัดสินใจเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ต้องอย่าคิดมาก หรืออย่าไปถามคนมาก ถ้ารู้สึกว่าถูกต้องแล้วก็ให้รีบลงมือทำ ซึ่งหากผิดก็จะทำให้เกิดการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น"
ทั้งหมดนี้คือ ประสบการณ์บางส่วนตลอดระยะเวลา 10 ปีที่นาดิมเข้าไปเปลี่ยนวัฒนธรรมและสร้าง Passion ให้กับพนักงานของโอ บอง แปง ซึ่งถึงวันนี้แม้จะมีความสำเร็จ แต่เขาบอกว่าของอย่างนี้คงหยุดไม่ได้ ต้องทำไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
"ในอนาคตเราก็คงไม่บริหารแค่เพียง 3 แบรนด์เท่านั้น ต้องมีมากกว่านี้ ผมต้องทำหน้าที่สร้างคนที่จะมาทำหน้าที่ดูแลแบรนด์ แม้ว่าภายหลังของการ
เทคโอเวอร์ใหม่ๆ ผมจะทำหน้าที่เป็นคนดูแลแบรนด์นั้นๆ โดยตรง เพื่อวางรากฐานให้ลึก เพื่อให้คนที่มารับช่วงเดินตามวิถีอย่างที่ควรจะเป็น"
เมื่อธุรกิจเริ่มอยู่ตัว นาดิมจะเป็นฝ่ายถอยออกมาเพื่อมองหาแบรนด์ใหม่ๆ สำหรับตลาดประเทศไทย รวมถึงต้องมองหาโอกาสขยายแบรนด์ทั้งสามที่มีอยู่เดิมไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
อ้างอิงจาก กรุงเทพธุรกิจ
ขอบคุณรูปภาพจาก www.facebook.com/AuBonPainThailand
|
|
|
|
|
|
|
|
156,874
