แฟรนไชส์น้ำผลไม้ “Upper plus” ทายาท “Upper house” โตพรวด เปิดตัว 2 เดือนขยาย 60 สาขา เจ้าของแบรนด์ประกาศเป้า 5,000 สาขาทั่วไทย ก้าวต่อไปบุกตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ระบุเป็นแฟรนไชซี่ ลงทุน 35,000 บาท แนะเหมาะแก่ผู้เริ่มต้นทำธุรกิจ ชี้ผลวิเคราะห์รายได้ขั้นต่ำ 10,000 บ. ต่อเดือน คืนทุนได้ใน 3-6 เดือน 

 

“Upper house” แฟรนไชส์คนไทยโตในอเมริกา 

 

ศักดิ์ชัย อุ่นจิตติกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีเชียงใหม่อุตสาหกรรม จำกัด เปิดเผยว่า ก่อนมาเป็นแฟรนไชส์ “Upper plus” บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตน้ำผลไม้เข้มข้น ส่งออกไปยังร้านอาหารต่างๆ ในประเทศอเมริกา ปรากฏว่า ทำตลาดประมาณ 1 ปีครึ่ง ธุรกิจไปได้ดี จึงคิดสร้างแฟรนไชส์ เพื่อเป็นเครือข่าย ขยายการผลิตวัสดุดิบของโรงงาน โดยใช้แบรนด์แฟรนไชส์ว่า “Upper house” เป็นร้านขายน้ำผลไม้ ที่มีระบบจัดการร้านสมัยใหม่ โดยได้ผู้บริหารแฟรนไชส์ระดับโลกมาเป็นคนวางระบบ 

 

“Upper house” เติบโตในเวลารวดเร็ว เริ่มสาขาแรกที่ ลอสแองเจลิส เมื่อปี 43 ปัจจุบันขยายไปจนถึง 20 สาขาในแอลเอ อีก 3 สาขาในเกาหลี และในประเทศไทย 6 สาขา ได้แก่ ขอนแก่น , เชียงใหม่ สุราษฏร์ธานี กทม. ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ บางนา และอุดรธานี 2 จุด 

 

“ถ้าเปิด “Upper house” ต้องใช้ทุนประมาณ 1 ล้านบาท เราก็มองว่า ทำไมไม่เอาสินค้าไปพบผู้บริโภค ถ้าเปิดเป็นร้าน ก็ต้องรอผู้บริโภคเข้ามา ผมต้องการสร้างเครือข่ายให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับกับฐานการผลิต จึงเกิดไอเดีย แฟรนไชส์ “Upper plus” เมื่อกลางเดือนเมษายน ปี 46” 
  

ลงทุน 35,000 บาท คืนทุนใน 3- 6 เดือน 

 

ศักดิ์ชัย เปิดเผยว่า “Upper plus” เป็นแฟรนไชส์ใช้เงินลงทุนเพียง 35,000 บาท ซึ่งจะได้รับคีออส พร้อมอุปกรณ์ รวมทั้งสูตรการผลิต และการฝึกอบรม ด้านระบบจัดการเป็นแบบเดียวกับ “Upper house” เหมาะกับกลุ่มผู้ลงทุนที่เป็นนักศึกษาปีสุดท้าย นักศึกษาจบใหม่ และคนทำงานที่ต้องการมีธุรกิจของตัวเอง เพราะลงทุนน้อย มีระบบจัดการที่ดี ผู้ลงทุนมีความเสี่ยงน้อย อีกทั้งวัสดุมาจากโรงงาน บริษัท ศรีเชียงใหม่อุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งได้รับมาตรฐานสากล อาทิ HACCP . GMP , HALAL 

 

ค่าใช้จ่ายอื่นประกอบด้วย ค่า Loyalty Fee เดือนละ 750 บาท และค่าวัสดุดิบที่ต้องสั่งจากโรงงาน โดยจากการวิเคราะห์ จุดคุ้มทุนต่อวัน 20 แก้ว คืนทุนได้ในเวลาประมาณ 3 – 6 เดือน ถ้าขายได้วันละ 50 แก้ว จะมีกำไรสุทธิต่อเดือน 10,000 บาท 

 

สำหรับเมนูที่จะขายใน “Upper plus” ได้แก่ น้ำผลไม้ในรูปแบบต่างๆ อาทิ โยเกิร์ตผสมน้ำผลไม้ปั่น , น้ำผลไม้ผสมครีมปั่น , ชาผสมครีม , ชาผสมน้ำผลไม้ เป็นต้น รวมแล้วกว่า 50 รายการ ราคาแก้วเล็ก 15 บาท และแก้วใหญ่ 20 บาท นอกจากนี้ หากแฟรนไชซี่ จะนำสินค้าอื่นๆ ยกเว้นประเภทเครื่องดื่ม มาขอใน “Upper plus” ก็สามารถทำได้ให้ยื่นเรื่องเสนอผ่านทางตัวแทน 
 

 

ตั้งเป้า 5,000 สาขาทั่วไป พร้อมบุกตลาดเอเชีย 

 

ศักดิ์ชัย เปิดเผยว่า “Upper plus” เปิดตัวมาประมาณ 2 เดือน ขณะนี้ทั้งหมด 60 สาขา คาดว่า ภายในสิ้นปีนี้ จะมี 800-1,000 สาขา ส่วนปีหน้า 2,000 สาขา และตั้งเป้าถึง 5,000 จุด ทั่วไทย ในขณะที่ ตัวแทนจำหน่ายตอนนี้มีอยู่ จ.ขอนแก่น, อุดรธานี , นครราชศรีมา , ชลบุรี และกรุงเทพฯ ซึ่งกำลังต้องการรับตัวแทนในทุกจังหวัด เพื่อทำหน้าที่ดูแลสาขาแทน อีกทั้ง ให้คำปรึกษาแก่ผู้ลงทุนในการหาทำเล ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน เพราะบริษัทแม่ไม่สามารถไปดูแลได้ทั้งหมด โดยผู้สนใจเป็นตัวแทน ขอให้เขียนแผนธุรกิจเข้ามาเสนอ โดยผลประโยชน์ที่จะได้ คือ ส่วนแบ่งของกำไร

 

และในอนาคตอันใกล้ เมื่อขยายได้ถึงประมาณ 1,000 สาขา จะนำระบบซอฟท์แวร์ ออนไลน์มาใช้ในบริหารจัดการ ทั้งด้านการตรวจสอบคุณภาพ ยอดขายสินค้า และรับส่งวัตถุดิบ ซึ่งในอเมริกา ได้ใช้ระบบจัดการนี้อยู่แล้ว และเมื่อขยายได้ถึงราว 2,000 สาขา ซึ่งแบรนด์ “Upper plus” ต้องติดตลาดแล้ว จะแตกไลน์สินค้า ผลิตน้ำผลไม้บรรจุขวด วางขายทั่วไปด้วย 

 

สำหรับเป้าหมายสูงสุด ศักดิ์ชัย อธิบายว่า ต้องการขายแฟรนไชส์ ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ,สิงคโปร์ , เวียดนาม , และขยายต่อไปอินเดีย และจีน โดยขายแบบมาสเตอร์แฟรนไชส์ คิดที่ราคา 300,000 เหรียญสหรัฐ ให้สิทธิ์ 8 ปี ทั้งนี้ต้องสั่งซื้อวัสดุดิบจาก บ. ศรีเชียงใหม่อุตสาหกรรม ฯ คาดว่า โครงการจะ ได้เริ่มได้ในปี 2548 

 

สนใจติดต่อ 081-7171513 , 086-2242177 

อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์