แฟรนไชส์น้ำผักผลไม้สด แบรนด์ใหม่ “Fresh up” จับกระแสรักสุขภาพบูม เจาะผู้บริโภคกลุ่มไฮโซ และชาวต่างชาติ ระบุจุดเด่นยกมาตรฐานดีไซน์ร้านหรูสะดุดตา ให้คุณค่าวิตามิน 100% ด้านวัตถุดิบนำเข้าจาก ตปท. ฟุ้งราคาขายแก้วละ 40-50 บาทถูกมากเมื่อเปรียบกับคุณภาพ พร้อมขยายแฟรนไชส์ 3 ราคา เป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุน 

 

นายสันติ รัตนกรรภิรมย์ เจ้าของแฟรนไชส์ Fresh up กล่าวว่า จากเดิมที่มีอาชีพสจ๊วต ได้พบว่า ในต่างประเทศน้ำผักผลไม้ กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ในขณะเดียวกันประเทศไทยกระแสรักสุขภาพก็กำลังมาแรงเช่นกัน แต่ในด้านรูปแบบการนำเสนอยังไม่ได้มาตรฐานสากล จึงคิดเพิ่มมูลค่าเครื่องดื่มน้ำผลไม้ ให้มีความโมเดลยิ่งขึ้น ทั้งด้านคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสามกล และการดีไซน์ร้านให้ดูเด่น สีสันสดใส สะอาด คนเดินผ่านร้านรู้สึกสะดุด อยากลองแวะชิม 

สำหรับวัตถุดิบ ผลไม้ 70% นำเข้าจากต่างประเทศ แหล่งใหญ่ คือ ประเทศออสเตรเลีย เช่น แครอท , แอปเปิ้ล , สาลี เป็นต้น ส่วน 30% ที่เหลือเป็นผลไม้จาก จ.เชียงใหม่ และเชียงราย 
 

 
 

“ต้องยอมรับว่า ผลไม้จากต่างประเทศ รสชาติดีกว่าที่ผลิตในประเทศ และมีมาตรฐานไม่ใส่สารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งราคาก็ไม่ได้แตกต่างกันกับในประเทศมากนัก ซึ่งเรามีตัวแทนนำเข้ามาแบบวันต่อวัน ไม่ต้องกังวลสินค้าจะขาด” 

 

“การทำจะใช้เครื่องนำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลียเช่นกัน มีคุณสมบัติหมุน 13,000 รอบ ต่อนาที ทำให้ได้คุณค่าของวิตามินครบถ้วน และได้คุณค่าที่มาจากผลไม้ เกือบ 100 % น้ำที่ออกมาจะเป็นสกัดกาก ไม่มีการใส่น้ำเชื่อม หรือสารปรุงแต่งรสใดๆ ทั้งสิ้น” 

 

นายสันติ เปิดเผยต่อว่า ราคาขายปลีกตั้งไว้ ใส่น้ำแข็ง 40 บาท ไม่ใส่น้ำแข็ง 50 บาท (แก้วขนาด 16 ออนด์) ซึ่งราคาดังกล่าวอาจจะดูแพง แต่เมื่อเทียบวัตถุดิบ และขั้นตอนการผลิต เชื่อว่า ผู้บริโภคยอมรับราคาดังกล่าวได้ และการตั้งราคานี้ ยังเป็นการป้องกันราคาวัตถุดิบขึ้น-ลง เพราะต้นทุนต่อแก้วต่ำอยู่ประมาณ 7 - 15 บาท ไม่ว่าราคาผลไม้จะแพงขึ้นเท่าใด ก็สามารถคงราคาขายปลีกนี้ไว้ได้ 
  

“ไม่ว่าราคาผลไม้จะถีบตัวสูงเท่าใด อย่างน้อยที่สุดต่อแก้วผู้ขายต้องมีกำไรขั้นต่ำ 5 บาท ซึ่งราคาขายต่อแก้วคงไม่ลดต่ำกว่านี้ เด็ดขาด ส่วนลูกค้าที่บอกว่าแพง ถ้าได้ลองดื่มแล้ว 90% จากที่เราทดลองตลาด จะบอกว่า ถูกมาก กับเครื่องดื่มแบบนี้ และยิ่งถ้าเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ที่มีสินค้าใกล้เคียงกัน ของเราถือว่าถูกมาก เพราะแบรนด์อื่นจะขายอยู่ราวแก้วละ 80-90 บาท” 

 

ด้านกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ ผู้รักสุขภาพทั้งรายเก่า และรายใหม่ ที่มีระดับฐานะค่อนข้างดี และกลุ่มชาวชาวต่างชาติ เน้นวางขายในแหล่งท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า และย่านธุรกิจ 

 

สำหรับน้ำผลไม้ในร้าน “Fresh up” มีหลายสิบชนิด แล้วแต่ลูกค้าสั่ง จะผสมผลไม้กี่ชนิดก็ได้ ถ้ายิ่งใส่ผลไม้หลายชนิดต้นทุนจะต่ำลง ทั้งนี้ ได้คิดสูตรน้ำผลไม้ 6 รายการ แนะนำสำหรับผู้เริ่มดื่มน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย สูตรดูแลผิว ,ชะลอแก่ ,ถนอมดวงตา ,บำรุงเส้นผม ,บำรุงครรภ์ และเพิ่มพลังงาน 
 

 
 

ทั้งนี้ ด้านขายแฟรนไชส์ แบ่งเป็น 3 ราคา ได้แก่ 35,000 บาท , 45,000 บาท และ 59,000 บาท ทั้ง 3 ราคา สิ่งที่ได้รับเหมือนกัน คือ เคาน์เตอร์พร้อมตบแต่ง และอุปกรณ์พร้อมขาย ส่วนที่แตกต่างกัน ตัวเครื่องสกัดกาก ซึ่งเป็นเครื่องรุ่นแตกต่างกันไป 

 

นอกจากนี้ ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับการฝึกอบรมการทำน้ำผลไม้ และส่งพนักงานประกบให้วันเปิดร้าน โดยผู้ลงทุนต้องใช้เงินหมุนเวียนสัปดาห์ละประมาณ 4,000 – 5,000 บาท เป็นค่าซื้อวัสดุดิบผลไม้ สามารถขายได้วันละประมาณ 100 แก้ว แต่ทั้งนี้ สามารถหาซื้อวัตถุดิบบางชนิดได้ด้วยตัวเอง เช่น แตงโม สัปปะรด เป็นต้น แต่บางชนิดจะระบุให้ต้องรับจากแฟรนไชซอเท่านั้น เช่น แครอท เป็นต้น 

 

นายสันติ เปิดเผยว่า ปัจจุบันได้เริ่มเปิดร้าน “Fresh up” สาขาแรกที่ห้างโลตัส จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อประมาณปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้รับผลตอบรับน่าพอใจมาก ยอดขายวันละประมาณ 100 แก้ว ส่วนแผนธุรกิต่อไปจะขยายด้วยตัวเองอีก 5 จุด ในห้างฟู้ดแลนด์ แต่ละสาขา ส่วนการปล่อยแฟรนไชส์ ตั้งไว้ว่า ในปีหน้า 2548 จะปล่อยไม่เกิน 20 จุดเท่านั้น เพื่อต้องการควบคุมคุณภาพได้ทั่วถึง 

 

ติดต่อธุรกิจ 06-892-5774 หรือ 02-726-1399 

 

อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์