แฟรนไชส์ “แคทเธอรีนฯ” อ่านแนวโน้มธุรกิจโฮมสปา เน้นแข่งภาพลักษณ์หรูหรา ราคาไม่โอเวอร์ เดินแผนปรับอัตราแฟรนไชส์ขึ้น หวังยกระดับแบรนด์ จับกลุ่มลูกค้าระดับเอ ตั้งเป้าเปิดใหม่ 10 สาขาภายในปีนี้ ชี้ทิศทางลูกค้าหันมาใช้บริการแทนระดับบิ๊ก 

 

ชลธิชา มหัทธนารักษ์ และนิตยา สิทธิปัญญาพิทักษ์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท เอเวอร์กลอรี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องสำอางสมุนไพร และผลิตภัณฑ์สปา “แคทเธอรีน” และแฟรนไชส์ “แคทเธอรีน บิวตี้เฮ้าส์แอนด์สปา” ร่วมเปิดเผยว่า จากที่บริษัทฯ เป็นเพียงผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเพียงอย่างเดียว จนเมื่อราว 3 ปีที่แล้ว บริษัทฯ ออกแฟรนไชส์ฯ ในราคาถูกเพียง 39,000 บาท เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจทำธุรกิจนี้ร่วมลงทุน และให้เป็นอีกช่องทางในการกระจายสินค้าของบริษัทฯ 
 

 
 

โดยแฟรนไชส์ได้ผลตอบรับที่ดี สามารถเปิดได้ถึง 20 สาขาภายในเวลาเพียง 4 เดือน แต่อย่างไรก็ตาม พบปัญหาว่า การปล่อยในราคาถูก ทำให้แฟรนไชส์ซีจำนวนหนึ่ง ขาดความเอาใจใส่ในการบริหาร ส่งผลกระทบกิจการล้มกว่า 20-30% ดังนั้น จึงเพิ่มค่าแฟรนไชส์เป็น 69,000 บาท เพื่อต้องการยกระดับกลุ่มผู้ซื้อแฟรนไชส์ โดยบริษัทฯ ได้เพิ่มเติมโปรแกรมต่างๆ เข้าไป เช่น อุปกรณ์ตบแต่งร้าน เช่น ป้ายร้าน ที่เดิมจะไม่มี หรือเพิ่มเวลาการฝึกอบรม เป็นต้น 

 

“การตั้งราคา 39,000 บาท ยอมรับว่า ได้เป็นบทเรียน ความคิดของเรา ต้องการช่วยคนให้มีอาชีพ ทำให้ลืมไปว่า การลงทุนน้อย ทำให้คนที่มาซื้อแฟรนไชส์ส่วนหนึ่ง จะเป็นกลุ่มขาดความอดทน ขาดความแน่วแน่ ความมุ่งมานะที่จะทำธุรกิจอย่างตั้งใจเพื่อให้ได้ทุนคืน ก็จะน้อยลงตาม” ชลธิชา กล่าว

 

สำหรับแฟรนไชส์อัตรา 69,000 บาท สามารถขยายเพิ่มเป็น 40 สาขา แบ่งเป็น กทม. 5 สาขา และตจว. 35 สาขา แต่เนื่องจากมองแนวโน้นธุรกิจโฮมสปา เปิดในพื้นที่อาคารชุดนั้น จำเป็นต้องปรับรูปแบบให้ดูหรูหราขึ้น เพื่อรับรองกลุ่มลูกค้าคนมีฐานะระดับเอ จากเดิมที่ตั้งกลุ่มเป้าหมายไว้ที่ระดับซีและบี ดังนั้น จึงปรับขึ้นแฟรนไชส์ใหม่ในอัตรา 250,000 บาท โดยเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจให้ครบวงจรขึ้น เช่น ชุดอุปกรณ์ตบแต่งร้าน และเครื่องมือสำหรับบริการในร้าน , การส่งเสริมการขาย , ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้บริการ และจำหน่าย , การฝึกอบรม เป็นต้น ซึ่งได้จัดทำร้านต้นแบบ ในซ.สุขุมวิท 103 ใช้ทุนไปกว่า 8 ล้านบาท 
 

 
 

“จากประสบการณ์ที่อยู่ในธุรกิจนี้ เราคาดว่า แนวโน้มความนิยมการใช้บริการสปาจะมุ่งไปที่ลุกซ์ดีขึ้น เพราะบริการเหล่านี้เป็นปัจจัยลำดับหลังๆ ของคนทั่วไปแล้ว ผู้ที่มาใช้บริการต้องคาดหวังสูง ทำให้เราต้องอัปเกรด ยกระดับแบรนด์ของเรา มองที่กลุ่มลูกค้าระดับเอเป็นหลัก ตั้งเป้าจะขยายให้ได้ 10 สาขา ภายในปีนี้” ชลธิชา กล่าว 

 

นิตยา กล่าวยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่ได้หวังทำกำไรจากการขายค่าแฟรนไชส์ แต่รายได้หลักจะตามมาจากการขายส่งผลิตภัณฑ์ให้แฟรนไชส์ ซึ่งบริษัทฯ ได้ให้ส่วนลดในอัตรา 35-50 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ผู้ซื้อแฟรนไชส์ ต้องมีค่าใช้จ่ายอื่น อาทิ ในการหาอาคาร แล้วแต่ทำเลและขนาด กับค่าตบแต่งร้านอีกประมาณ 1.5-1.8 ล้านบาท คาดว่า ผู้ลงทุนจะสามารถคืนทุนได้ในเวลา 1-3 ปี 

 

นิตยา กล่าวต่อว่า จุดเด่นของสปาแคทเธอรีนฯ อยู่ที่เมนูบริการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใช้วัตถุดิบสมุนไพรทั้งจากในและต่างประเทศ ผ่านบริการของบุคลากรที่ฝึกอบรมมาอย่างดี ในอัตราค่าบริการราคาระดับกลางไม่สูงเกินไป เช่น นวดแผนไทย ครั้งละ 350 บาท เป็นต้น แต่ทั้งนี้ จะให้สิทธิ์กับผู้ซื้อแฟรนไชส์ สามารถกำหนดราคาให้เหมาะสมกับสถานที่ของตัวเองได้ 
 

 
 

ชลธิชา กล่าวว่า แม้ปัจจุบัน ธุรกิจสปาจะเกิดขึ้นใหม่จำนวนมาก แต่มองทิศทางว่า กลุ่มสปาระดับบน ค่าบริการสูง ตลาดใกล้เต็มแล้ว และอีกประการ ต้องขึ้นกับแนวทางการส่งเสริมธุรกิจสปาของภาครัฐ เพราะต้องอาศัยกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวเป็นหลัก ในขณะที่ ธุรกิจโฮมสปาระดับกลางที่มีภาพลักษณ์ดี และราคายอมรับได้ น่าจะมีโอกาสมากกว่า เพราะรองรับกลุ่มลูกค้าได้กว้างตั้งแต่ระดับซีถึงเอ และนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าระดับบนที่เคยใช้บริการสปาราคาแพงจำนวนมาก เริ่มหันจะมาใช้บริการสปาแบบนี้ เพราะมองว่า คุณภาพเหมือนกัน แต่ราคาถูกกว่ามาก 

 

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตปีนี้ ไว้ให้เพิ่มจากปีที่ผ่านมา (2547) ถึง 100% โดยรายได้หลักจะมาจากยอดจำหน่ายสินค้าให้กับแฟรนไชส์ กับการออกสินค้าตัวใหม่ คือ ครีมนวดสมุนไพรปิดผมขาว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล่าสุด สามารถย้อมผมได้กึ่งถาวร อยู่ทน 3-4 สัปดาห์ เลือกโทนสีได้ ซึ่งรายได้จากธุรกิจทั้งสองทางนี้ น่าจะทำให้บริษัทฯ ทำได้ตามเป้าที่วางไว้ 
  

ติดต่อ โทร.0-2748-9124-5

 

อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์