ดาวเด่นแฟรนไชส์    แฟรนไชส์โจ๊กมหาเศรษฐีฯ ขายไอเดียโภชนาการดีเสริมสิริมงคล
7.7K
25 พฤศจิกายน 2551
แฟรนไชส์โจ๊กมหาเศรษฐีฯ ขายไอเดียโภชนาการดีเสริมสิริมงคล


 
 
“โจ๊กมหาเศรษฐีล้านนา” แฟรนไชส์โจ๊กน้องใหม่ ผุดไอเดียสร้างความแตกต่างด้วยเมนูหลายหลากให้ประโยชน์ทางโภชนาการ ตอบสนองความต้องการผู้บริโภค พ่วงด้วยชื่อแบรนด์ และเมนูเป็นสิริมงคลทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เผยร้านต้นแบบฟันกำไร พร้อมขายแฟรนไชส์ คิดอัตรา 2 แสน คาดผู้ลงทุน 4-6 ด. คืนทุน ระบุในปีนี้ ขอขยาย 3-5 สาขา 
 
กฤตยา พันธุเมธากุล เจ้าของกิจการ “โจ๊ก มหาเศรษฐีล้านนา” เล่าว่า จากเดิมที่เป็นมนุษย์เงินเดือน อยู่ในฝ่ายการตลาดของธนาคารสแตนดาร์ด ชาเตอร์ด นครธน แม้ว่าค่าตอบแทนและตำแหน่งงานจะมั่นคง แต่เมื่อทำมานาน ถึงจุดที่อยากมีกิจการของตัวเอง ส่วนสาเหตุที่เลือกธุรกิจโจ๊ก เพราะเป็นอาหารที่ทานได้ทุกเพศทุกวัย สะดวก และรวดเร็ว ซึ่งก่อนจะวางรูปแบบโจ๊กของตัวเอง ได้ตระเวนลองชิมโจ๊กในท้องตลาดทั้งแบรนด์ใหญ่ และตามร้านทั่วไป พบว่า ส่วนใหญ่ ทำจากข้าวหอมมะลิ ใส่หมูสับ ไข่ไก่ และมีเครื่องเคียง คือ ขิงกับต้นหอม จากนั้น นำข้อมูลที่ได้มาผสมกัน และคิดให้เกิดความแตกต่าง ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น โดยให้เป็นโจ๊กที่มีคุณค่าทางโภชนาการ 
 
“ในหนึ่งชามของ ‘โจ๊ก มหาเศรษฐีล้านนา' จะมีทั้งโปรตีน , แป้ง และวิตามิน มีให้เลือกทั้งข้าวกล้อง และข้าวหอมมะลิ เลือกได้ทั้งเนื้อหมู , ปลา , กุ้ง และเป็ดย่าง ประกอบกับเครื่องเคียงที่นอกจากขิงกับต้นหอมแล้ว ยังเพิ่มลูกเดือย , แครอท และเผือกทอดด้วย อีกทั้งใส่ไข่เค็ม หรือไข่เยี่ยวม้า ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการรับประทาน” เจ้าของไอเดีย อธิบาย 
 
ในขณะที่รสชาตินั้น พัฒนาจากการลองผิดลองถูก จนได้เป็นสูตรเฉพาะตัว ซึ่งมีความพอดี ไม่จำเป็นต้องปรุงเพิ่ม อีกทั้ง เนื้อโจ๊กผ่านวิธีการกวนจนได้ที่ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นนาน 3 วัน แล้วอุ่นทาน เนื้อโจ๊กก็ยังไม่เละ 
 
 
 ผุดไอเดียแบรนด์แห่งสิริมงคล 
 
ส่วนที่ตั้งชื่อแบรนด์ว่า “มหาเศรษฐีล้านนา” เป็นการผสมระหว่าง คำว่า “มหาเศรษฐี” เพื่อให้เป็นสิริมงคลในการทำธุรกิจแก่ตัวเอง และผู้จะมาร่วมเป็นแฟรนไชซี่ในอนาคต เพราะเชื่อว่าคนที่จะประสบความสำเร็จ หรือร่ำรวยได้ ไม่ใช่แค่เก่งอย่างเดียว แต่ต้องมาจากจิตใจที่ดี มีคุณธรรม และมีเฮงด้วย 
 
กับคำว่า “ล้านนา” มาจากส่วนตัวชอบบรรยากาศของภาคเหนือ และคิดถึงรูปแบบร้านแฟรนไชส์ จะตบแต่งในสไตล์ทางเหนือ นอกจากนี้ ยังตั้งชื่อเมนูให้เป็นสิริมงคล เพื่ออวยพรให้กับลูกค้าที่มารับประทานด้วย เช่น โจ๊กมงคล คือโจ๊กหมู , โจ๊กเศรษฐี คือ โจ๊กกุ้ง หรือโจ๊กอภิมหาเศรษฐี คือ โจ๊กรวมมิตร เป็นต้น 
 
“การตั้งชื่อแบรนด์ว่า “มหาเศรษฐี” เพื่อให้เป็นมงคล เพราะเราตั้งใจทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ทำด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่แค่เป็นเศรษฐี แต่ทำให้รวยเป็นมหาเศรษฐีเลยดีกว่า ผู้มาร่วมเป็นแฟรนไชส์ก็เป็นมหาเศรษฐีด้วย ส่วนเมนูก็ตั้งให้เป็นสิริมงคล เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะทานโจ๊กตอนเช้า ถ้าพูดแต่คำดีๆ ก็จะเป็นการอวยพรลูกค้า ในการเริ่มต้นวันใหม่” กฤตยา กล่าว 
 
 
 
เผยยอดขายกำไร50% 
 
หลังจากได้แนวทางร้านแล้ว เริ่มเปิดร้านของตัวเองประมาณเดือนพฤษภาคม 2547 ในซอยสวนมะลิ ตามด้วยสาขาสองย่านวังหิน ขายเฉพาะช่วงค่ำ และสาขาสามในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ใช้เงินลงทุนบวกค่าใช้จ่ายไปทั้งสิ้นราว 500,000 บาท ซึ่งทุกแห่งได้รับผลตอบรับดีมาก สาขาแรกขายถึง 9.00 น. สาขาสองขายเฉพาะช่วงค่ำ รายได้แห่งละประมาณ 4,000 บาท / วัน ส่วนที่ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ขายถึง 14.00 น. รายได้ประมาณ 10,000 บาท / วัน โดยหักต้นทุนแล้ว เหลือกำไรถึงประมาณ 50% ทำให้เห็นโอกาสขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ จึงเข้าร่วมในโครงการ เสริมสร้างผู้ประกอบการธุรกิจด้วยระบบแฟรนไชส์ ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อพัฒนาความพร้อมในการทำธุรกิจอย่างจริงจัง 
 
กฤตยา อธิบายว่า โจ๊กมหาเศรษฐีฯ มีทั้งหมด 7 เมนู ราคาขาย 20 – 50 บาท ยอมรับว่า ราคาสูงเมื่อเทียบกับโจ๊กในท้องตลาดทั่วไป แต่เนื่องจากวางกลุ่มลูกค้าไว้เป็นคนทำงาน พนักงานบริษัท ที่อยากได้อาหารที่สะอาดมีคุณภาพ และต้องการความรวดเร็ว จึงคิดว่าราคานี้ ผู้บริโภคยอมรับได้ โดยสถานที่เป้าหมายในการเปิดร้าน คือ ย่านธุรกิจ , ชุมชน , มหาวิทยาลัย , โรงอาหารของโรงพยาบาล และใกล้สถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น 
 
และนอกจากเมนูโจ๊กแล้ว ยังเสริมเมนูอื่นๆ เช่น ก๋วยจั๊บมหาเศรษฐี , เกาเหลาเลือดหมูมหาลาภ เหตุผลที่มีเมนูเหล่านี้ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แฟรนไชซี่ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่จะนิยมทานโจ๊กเฉพาะช่วงเช้าและค่ำ จึงเสริมเมนูที่สามารถใช้วัตถุดิบของโจ๊กมาทำเป็นอาหารอื่นๆ ให้แฟรนไชส์สามารถเพิ่มรายได้ และขายได้ทั้งวัน อีกทั้งในอนาคตจะเพิ่มเมนูขนมหวาน และเครื่องดื่มสมุนไพรเข้าไปด้วย 

 
  
 ลงทุน 2 แสน คาด 4-6 ด.คืนทุน 
 
สำหรับค่าแฟรนไชส์ประมาณ 200,000 บาท เงื่อนไขจะส่งวัตถุดิบเฉพาะหมูปรุงรส กิโลละ 120 บาท กับหัวน้ำซุป ลิตรละ 60 บาท ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ จะฝึกสอนการทำ และแนะนำให้ซื้อตามข้อกำหนด เช่น กุ้งต้องเป็นขนาดใหญ่ 45 ตัว/กก. ทั้งนี้ คาดว่า ผู้ซื้อแฟรนไชส์ จะคืนทุนได้ในเวลา 4-6 เดือน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากต้องการได้ผู้ร่วมธุรกิจที่มีคุณภาพจริงๆ จึงตั้งเป้าไว้ว่า ในปีนี้ จะปล่อยแฟรนไชส์เพียง 3-5 สาขาเท่านั้น ในพื้นที่ กทม. และหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด 
 
“ทุกวันนี้ พร้อมจะเปิดขายแฟรนไชส์แล้ว 
 
โดยเราเก็บข้อมูลรายรับรายจ่ายของร้านต้นแบบที่ศูนย์รังสิตไว้ทุกวัน เพื่อให้ผู้สนใจเปรียบเทียบได้ว่า เขาน่าจะลงทุนหรือไม่ ส่วนการคัดผู้ร่วมทุน จะคัดที่มีคุณภาพจริงๆ ไม่เร่งรีบ เพราะเราเป็นแบรนด์ใหม่ ต้องการให้ทุกสาขาประสบความสำเร็จ ดังนั้น ไม่ขอเน้นปริมาณ เพราะเราไม่อยากให้แบรนด์ที่ตั้งใจสร้างมา ต้องเสียไป” กฤตยา กล่าวทิ้งท้าย
 
โทร. 08-1866-6535 และ 08-6324-7755
 
อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์
ดาวเด่นแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
รวบรวมขนมปัง 20 บาท มาเอาใจคนอยากมีร้าน
157,522
ชานมไข่มุกปลุกตลาด 7 พันล้าน เทรนด์‘ไต้หวันกลับซ..
99,645
กาแฟสด ชาวดอย ลงทุนน้อย ความเสี่ยงต่ำ ความคล่องต..
81,650
เนสท์เล่ ปูพรมร้านไอศกรีมลงทุนเอื้ออาทร สานฝันคน..
77,808
ปั่นแหลก น้ำผลไม้สด แซงโค้งเข้าวินสร้างอาชีพ
76,558
“เคพีเอ็นพลัส” แฟรนไชส์อะไหล่มอ’ไซด์ ลั่นขยาย100..
55,082
ดาวเด่นแฟรนไชส์มาใหม่
ดาวเด่นแฟรนไชส์อื่นในหมวด