Dfresh เริ่มต้นจากการสำรวจตลาดว่าขนมอะไรเป็นที่นิยม แล้วจึงนำมาจัดรูปแบบใหม่ โดยวางคอนเซ็ปต์ไว้ว่า ทำง่าย ขายง่าย ได้เงินดี โดยมองว่า ตลาดเครปญี่ปุ่น เดิมมีอยู่สองตลาด คือในห้างสรรพสินค้า ซึ่งอร่อยแต่ราคาแพง กับตามตลาดนัดทั่วไป ที่รสชาติธรรมดา ราคาถูก 

 

“เมื่อมีสองตลาดเราเลยวางคอนเซ็ปต์ไว้ว่าขนมต้องมีมาตรฐานระดับห้าง แต่ราคาระดับตลาดนัด แล้วเราก็พัฒนาสูตรให้สามารถทำได้ทั้งเครป แพนเค้ก โตเกียว และฮ็อทดอก แฟรนไชส์เดียวแต่สามารถขายขนมที่เป็นที่นิยมได้หลายชนิด” นพพร อัครพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด หจก. ดีเฟรช อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว 

 

นพพร เปิดเผยต่อว่า แฟรนไชส์ Dfresh เริ่มต้นเมื่อเดือนธันวาคม 2546 และเปิดมาประมาณ 80 กว่าสาขาแล้ว ยอดขายแต่ละสาขาค่อนข้างดี คือขายได้วันละ 2-3 พันบาท เพราะขนมเหล่านี้ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และทานได้เรื่อยๆ

 

โดยค่าแฟรนไชส์อยู่ที่ 35,000 บาท ได้อุปกรณ์ครบทุกอย่าง ตั้งแต่รถเข็น เตาเครป 2 เตา เตาฮ็อทดอก 1 เตา และแป้งอีก 20 ถุง 

 

“คุณมีเงิน 35,000 บาท พร้อมกับตัว คุณก็สามารถมาทำแฟรนไชส์ของเราได้เลย ใช้เวลาในการสอนแค่ 1 วัน แป้งเป็นผงสำเร็จรูป แค่ผสมน้ำตามสัดส่วนที่เราสอนให้ ผสมแค่ครั้งเดียวก็ใช้ทำขนมได้ทั้ง 4 ชนิด แล้วเนื้อแป้งของเราทำให้ขนมกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งนอกจากสูตรแป้งแล้ว ก็ยังเป็นที่วิธีการทำด้วย ซึ่งเราจะสอนให้ว่าต้องตั้งไฟแบบไหน ต้องเตรียมแป้งยังไง” 
 

 
 

“แป้งมีหลายคุณภาพ เนย นม เครื่องปรุงทุกอย่างมันมีหลายคุณภาพ เราจะกำหนดมาตรฐานเครื่องปรุงเหล่านี้ แป้งผงของเราจึงมีคุณภาพดี แล้วเราก็จดทะเบียนความลับทางการค้าไว้แล้ว” 

 

ส่วนค่ารอยัลตี้ฟีและเปอร์เซ็นต์ยอดขาย Dfresh ไม่เก็บ แต่มีสัญญาว่าแฟรนไชส์จะต้องสั่งแป้งจาก Dfresh โดยตลอด ส่วนไส้สามารถหาซื้อได้เองตามท้องตลาดทั่วไป แต่ถ้าไม่สะดวกก็สั่งซื้อจาก Dfresh ได้เช่นกัน โดยจะขายให้ในราคาต้นทุน 

 

ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้ามาซื้อแฟรนไชส์ต้องมีใจรักในการทำขนม ใส่ใจ รักความสะอาด และที่สำคัญเรื่องไส้ต้องไม่ตระหนี่จนเกินไป ต้องให้สมน้ำสมเนื้อ 

 

“ถ้าแป้งอร่อย ไส้อร่อย ไม่ขี้เหนียว ลูกค้าติดแน่นอน โดยเราลดต้นทุนที่ค่าซองหรือกล่องใส่ขนมจากที่ใช้กันราคาบาทกว่า ก็เหลือแค่แบบสีขาวล้วนธรรมดาราคา 25 สตางค์” 

ส่วนกำไรของแฟรนไชส์ นพพร กล่าวว่า อยู่ที่ทำเลด้วย อยู่ที่ลูกค้าที่มาซื้อว่ามากหรือน้อยขนาดไหน เพราะต้นทุนของเครปแผ่นหนึ่งอยู่ที่ประมาณ 5 บาทเท่านั้น แต่บางแห่งขายในราคาสองไส้ 20 บาท เพราะฉะนั้นกำไรเกินครึ่งแน่ๆ 
 

 
 

“ด้านโลเคชั่นเราให้ลูกค้าตัดสินใจเสียส่วนใหญ่ แต่ขอให้อยู่ในแหล่งชุมชน โรงเรียน ที่มีคนเยอะๆ แต่เนื่องจากแฟรนไชส์ Dfresh เป็นรถเข็น จึงสามารถเคลื่อนย้ายที่ไปได้เรื่อยๆ ช่วงเช้าอาจจะขายหน้าโรงเรียน ช่วงบ่ายอาจจะไปขายในตลาดก็ได้” 

 

หลังจากซื้อแฟรนไชส์ไปแล้ว Dfresh ก็จะดูแลแฟรนไชส์โดยจะคอยโทรสอบถามเรื่องรถเข็น เรื่องป้าย ว่าชำรุดเสียหายหรือไม่ ถ้าเกิดชำรุดก็จะมีป้ายใหม่เปลี่ยนให้ โดยจะมีฝ่ายดูแลลูกค้าคอยตรวจสอบทั่วถึงทุกสาขา 

 

“นอกจากทำในประเทศไทยแล้ว ตอนนี้เราขยายไปที่ประเทศลาว เพราะมีคนสนใจมาซื้อแฟรนไชส์ เราก็เลยตกลงกันให้เขาเปิดที่เวียงจันท์เป็นสาขาแรก หลังจากนั้นก็วางแผนให้เขาเป็นตัวแทนขายแฟรนไชส์ที่ลาวให้เราด้วย ก็หวังว่าแฟรนไชส์ไทยจะได้ไปตีตลาดประเทศเพื่อนบ้านบ้าง” นพพร กล่าว

 

ติดต่อ Dfresh 4 in 1 โทร. 0-2383-9466-7 

 

อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์