ทุกวันนี้ แฟรนไชส์บะหมี่รถเข็น เกิดขึ้นใหม่ราวดอกเห็ด แต่ปัญหาที่ตามมา คือ ไม่สามารถควบคุมคุณภาพทั้งด้านความสะอาด และมาตรฐานรสชาติไว้ได้ จากจุดนี้ เป็นแนวคิดให้ บริษัทอาหารนำไทยพัฒนา ผู้ผลิตเส้นบะหมี่อันดับหนึ่งของประเทศ เห็นโอกาส ลงมาบุกธุรกิจแฟรนไชส์บะหมี่รถเข็นเอง ด้วยการออก “หมี่มหาชน” โดยชูจุดเด่นเป็นแฟรนไชส์บะหมี่รถเข็นที่ได้การยอมรับคุณภาพ พร้อมก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งในวงการ 

 

ดารัตน์ เตชะไมตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาหารนำไทยพัฒนา จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตเส้นบะหมี่ “นำชัย” มากว่า 80 ปี ซึ่งเป็นเส้นบะหมี่ที่ขายแพร่หลายที่สุดในประเทศไทย โดยที่แล้วมา ลูกค้าแฟรนไชส์ขายบะหมี่แบรนด์ต่างๆ จะมีปัญหาเรื่องมาตรฐานเส้นบะหมี่ของต้นสังกัด ต้องหันมาซื้อสินค้าของ “นำชัย” แทน ทำให้เกิดการเรียกร้องให้บริษัทฯ ทำแฟรนไชส์ของตัวเอง เพื่อบริการลูกค้าได้โดยตรง 

 

ทั้งนี้ ก่อนที่จะเปิดตัว ได้ศึกษาตลาดแฟรนไชส์บะหมี่ต่างๆ ใช้เวลาร่วมปี พบปัญหาว่า ทั่วไปยังขาดมาตรฐาน ความสะอาด ดังนั้น จุดเด่นของ “หมี่มหาชน” จะเน้นด้านมาตรฐานสินค้า และความสะอาด เส้นบะหมี่จะเป็นของสดใหม่ อุปกรณ์เครื่องใช้ในร้านทุกชนิดเป็นสินค้าเกรดเอ 

 

“แฟรนไชส์บะหมี่อื่นๆ จะเน้นขายรถเข็นให้ได้จำนวนมาก ไม่ได้สนใจว่า ปล่อยไปแล้วจะเป็นอย่างไร ซึ่งจากการสำรวจ เราได้พบช่องว่างของธุรกิจแฟรนไชส์บะหมี่ ส่วนมากพอรับเงินค่าแฟรนไชส์มาแล้ว ก็ปล่อยลูกค้าลอยแพ คุณจะขายอย่างไรก็เรื่องของคุณ จะไปทำจับฉ่ายอย่างไรก็ได้ บางคันขายทั้งบะหมี่ ขายทั้งข้าว รถบางคัน ก็สกปรกจนดูไม่ได้ แม้กระทั่งคนขาย เห็นแล้ว เรายังไม่กล้าทาน เราจึงจับประเด็นนี้ มาทำแฟรนไชส์บะหมี่ที่มีมาตรฐานและคุณภาพ” 
 

ทั้งนี้ การควบคุมแฟรนไชส์ให้ได้มาตรฐาน เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกผู้มาลงทุน จะต้องมีความตั้งใจจะเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆ และยอมทำตามเงื่อนไขกติกาของบริษัทฯ ด้านวัสดุดิบ ต้องรับเส้นบะหมี่ของ “หมี่มหาชน” เท่านั้น ซึ่งมั่นใจได้ว่า มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ เพราะผ่านขั้นตอนการผลิตด้วยเครื่องจักรทันสมัย ราคากว่า 5 ล้านบาท เป็นเจ้าเดียวในประเทศไทยที่ใช้ ส่วนการเลือกซื้อวัตถุดิบอื่นๆ และการผลิตจะมีจัดอบรมให้ 

 

นอกจากนี้ จะมีทีมงานไปแนะนำให้คำปรึกษา และตรวจสอบคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยทีมงานนี้ ถือเป็นหัวใจในการรักษาชื่อเสียงของแบรนด์ ซึ่งจะทำงานอย่างเข้มงวด ตลอดระยะเวลาที่เป็นถือแบรนด์ “หมี่มหาชน” ทั้งนี้ หากสาขาใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะมีการเรียกแฟรนไชส์คืน
 

 
 

จุดเด่นอีกประการ เนื่องจากบริษัทฯ มีข้อได้เปรียบ ที่มีเครือข่ายส่งบะหมี่นำชัยทั่วประเทศอยู่แล้ว ทำให้สามารถบริการส่งเส้นบะหมี่ให้กับแฟรนไชส์ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชม. ต่างกับแบรนด์อื่นๆ ที่จะส่งสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง 

 

สำหรับที่มาของชื่อ “หมี่มหาชน” และสัญลักษณ์เป็นขาคนยืนเรียงรายกัน เพราะต้องการความแปลก และดูทันสมัย โดยสื่อว่า ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ และทุกคนสามารถรับประทานได้ เพราะเป็นสินค้าที่มีมาตรฐาน ในราคาถูกเพียงชามละ 20 บาท ส่วนการออกแบบรถเข็นให้เป็นสีเขียว เพื่อสร้างความแตกจากรายอื่นๆ ที่จะเน้นใช้แต่สีเหลือง 

 

ส่วนค่าแฟรนไชส์ตั้งไว้ที่ 35,000 บาท จากต้นทุนที่แท้จริงคือ 38,000 บาท ผู้ลงทุนจะได้รับรถเข็น พร้อมอุปกรณ์ครบชุดพร้อมลงมือขาย โดยผู้ลงทุน จะมีกำไรต่อชาม 40-50% จากราคาขาย รายได้หลังหักต้นทุนแล้วเหลือประมาณ 1,000 กว่าบาท/วัน ระยะเวลา 1 เดือน สามารถคืนทุนได้ 

 

“อุปกรณ์ทุกชิ้นของเรากล้าการันตีว่า เป็นสินค้าเกรดเอ เช่น รถเข็นทำด้วยสแตนเลสทั้งคันไม่เป็นสนิม ชามก็ใช้ชามที่เหมาะใส่ของร้อน ซึ่งต้นทุนจริงๆ ของอุปกรณ์ ก็สูงว่าค่าแฟรนไชส์แล้ว แต่สาเหตุที่เรายอมขายแฟรนไชส์ขาดทุน เพราะหวังรายได้ในระยะยาวจากการขายส่งวัตถุดิบเส้นบะหมี่” 

 

ดารัตน์ เปิดเผยว่า “หมี่มหาชน” เริ่มเปิดตัวเมื่อปลายปี 47 ที่ผ่านมา ได้ผลตอบรับสูงมาก แม้ว่าไม่ได้ทำประชาสัมพันธ์ใดๆ เลย เพียงกระแสปากต่อปากทำให้ขณะนี้ ขยายไปขึ้น 40 กว่าสาขาแล้ว ส่วนมากจะอยู่ตามต่างจังหวัด สำหรับเป้าหมายที่วางไว้ ภายใน 6 เดือนแรกของปี คิดว่า ขยายได้อย่างน้อย 300 สาขา นอกจากนี้ กำลังจะทำข้อตกลงกับร้านสะดวดซื้อ “แฟมิลี มาร์ท” โดยในอนาคตหากซื้อแฟรนไชส์ของ “แฟมิลี มาร์ท” ก็จะพ่วงแฟรนไชส์ “หมี่มหาชน” เข้าด้วย ซึ่งจากศักยภาพต่างๆ เหล่านี้ เชื่อว่า “หมี่มหาชน” จะก้าวมาเป็นเจ้าตลาดที่แท้จริงของธุรกิจประเภทนี้ได้

 

สนใจโทร.0-6392-2114-5

 

อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์