ดาวเด่นแฟรนไชส์    “ลุงชม” ไอติมโบราณล้านนา เน้นสะอาด-บุกตลาดชั้นกลาง
20K
15 มกราคม 2551
“ลุงชม” ไอติมโบราณล้านนา เน้นสะอาด-บุกตลาดชั้นกลาง


 
ช่วงนี้ถ้าใครไปเดินจับจ่ายที่สวนจตุจักร ก็มักจะเห็นผู้คนทั้งชาวไทยและต่างชาติถือไอติม แท่งสีหวานทานดับร้อนกันอยู่ทั่วไป ไอติมที่ว่าไม่ใช่ไอศกรีมแบบของแถบตะวันตก แต่เป็นไอติมสูตรโบราณของไทยแท้แต่ดั้งเดิม ที่เด็กสมัยใหม่คงไม่ค่อยรู้จักกันนัก แต่ “ลุงชม” กำลังนำไอติมโบราณนั้นกลับมาให้คนไทยได้ลิ้มรสหวานเย็นกันอีกครั้ง 
 
ลุงชม หรือ อรรถพันธ์ ชาเทพ เล่าให้ฟังว่า ไอติมโบราณนี้เป็นสูตรของพ่อแม่ปู่ย่าที่ทำขายกันใน จ.เชียงใหม่ มานานแล้ว แต่ด้วยกระแสความนิยมไอศกรีมฝรั่งที่มากขึ้น ทำให้ต้องหยุดขายไป เมื่อประมาณปี 2535 
 
“จุดเด่นของสูตรโบราณนี้คือ กะทิที่ใช้ต้องสด สะอาด ต้องคัดเลือกมะพร้าวที่ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน ทานแล้วไม่กระหายน้ำ เพราะไม่มีส่วนผสมของนมและรสชาติไม่หวานมาก” 
 
ลุงชม เล่าต่อว่า หลังจากนั้นมา 10 ปี ธุรกิจที่ตนทำอยู่เจอพิษไอเอ็มเอฟ ต้องหยุดไปเช่นกัน จึงคิดหาอย่างอื่นทำเล็กๆ น้อยๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2545 ทางอาจารย์ของโรงเรียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา ได้ชักชวนให้ไปขายของในงานสืบสานล้านนา ซึ่งย้อนยุคกาดเมืองเหนือ จึงคิดถึงไอติมสูตรโบราณนี้ขึ้นมา เมื่อทำไปขายในงาน ก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก 
 
“ก็เลยคิดว่าน่าจะลองทำเป็นธุรกิจดู ใช้เงินเริ่มต้นแค่ไม่กี่พันบาท ทำที่เชียงใหม่อยู่ 2 ปี เปิดเป็นร้านขายแถวถนนท่าแพ ซึ่งเป็นถนนคนเดิน” 
 
 
 
ต่อมาลุงชมมีโอกาสได้มาขายในงานกาดล้านนาที่กรุงเทพฯ และได้รับการตอบรับที่ดี จึงคิดลองมาทำตลาดที่กรุงเทพฯ โดยแผนการตลาดของลุงชม คือทำจากน้อยไปหามาก ทำตลาดวงแคบก่อน แล้วค่อยๆ ขยายออกไป โดยแรกๆ ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรใหญ่โต แต่เมื่อตลาดโตขึ้น จึงค่อยๆ เพิ่มสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ลงไป เช่น ห้องเย็น ที่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อรองรับการกระจายสินค้าในกรุงเทพฯ ไปสู่แฟรนไชส์สาขา 
 
“เราสร้างความพอใจให้ลูกค้า ไม่ได้ตั้งใจจะแข่งกับยี่ห้ออื่น รู้สึกสบายใจกว่าธุรกิจที่ทำเดิมๆ เพราะเราไม่ต้องไปกังวลใจกับดอกเบี้ยเงินกู้ เพราะมันเป็นธุรกิจเล็กๆ ค่อยๆ ทำไป พอมีเงินใช้จ่าย ไม่ได้ตั้งใจว่าต้องร่ำรวย แต่ถ้ามันจะทำให้เรารวยก็ไม่ได้ว่าอะไร รวยได้ก็ดี” 
 
หลังจากเข้ามาขายในกรุงเทพฯ ได้ประมาณปีกว่า ลุงชมก็ได้เจอกับณรงค์ ภูธิพันธุ์ ซึ่งสนใจจะทำไอติมโบราณนี้ให้เป็นแฟรนไชส์ 
 
“เราอยากสร้างงานสร้างคน ไม่ได้คิดถึงตัวเองคนเดียว คิดถึงคนอื่นบ้าง คนที่กำลังว่างงาน คิดหาธุรกิจทำ โดยคุณณรงค์จะดูแลเรื่องแฟรนไชส์ ส่วนลุงก็ดูแลเรื่องการผลิต โดยเรามีโรงงานอยู่ที่เชียงใหม่และลำปาง มีกำลังการผลิตวันละประมาณ 4-5 พันแท่ง” ลุงชม กล่าว 
 
ด้าน ณรงค์ ภูธิพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดแฟรนไชส์ เปิดเผยถึงรายละเอียดแฟรนไชส์ “ลุงชมไอติมโบราณ” ว่า ค่าแฟรนไชส์ 32,500 บาท จะได้รับคีออสที่เป็นตู้แช่ไอติมพร้อมป้ายชื่อร้าน, อุปกรณ์การขายต่างๆ และมีไอติมให้ 400 ก้อนใหญ่ และ 800 ก้อนเล็ก โดยไม่ต้องเสียค่ารอยัลตี้ฟี หรือหักเปอร์เซ็นต์รายเดือน แต่ต้องสั่งไอติมจาก “ลุงชมฯ” แล้วแต่ว่าขายหมดเร็วแค่ไหน 
 
“คุณสมบัติของผู้ที่ต้องการร่วมธุรกิจกับเรา ที่สำคัญต้องเป็นคนรักษาความสะอาด ต้องสวมถุงมือทุกครั้งที่หยิบจับไอติม และต้องเป็นคนขยันและสนใจในตัวสินค้าของเราจริงๆ โดยเราจะให้เขาลองทานไอติมก่อน ถ้าคุณพอใจกับสินค้าเราถึงจะให้ซื้อแฟรนไชส์”
 
 
 
ส่วนความมั่นใจในมาตรฐานของสินค้านั้น ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะ “ลุงชมไอติมโบราณ” ได้ผ่านการตรวจสอบและได้ อย. เรียบร้อยแล้ว 
 
“ลูกค้าที่เข้ามาหาเราเขาบอกว่าไม่ได้ทานมานานแล้ว เพราะหาทานไม่ได้ หรือที่มีรถเข็นขายก็กลัวจะไม่สะอาด เราก็เลยเห็นว่าตลาดยังมีอีกเยอะ ทำไมไม่ทำให้คนระดับนี้ทานได้อย่างสบายใจ ก็เลยขอ อย. ซึ่งก็ใช้เวลา 6 เดือนในการตรวจสอบ ตอนนี้ทั้ง 8 รสชาติที่เรามี คือ กะทิ ใบเตย ทุเรียน เผือก ช็อกโกแลต ถั่วดำ กาแฟ สตรอเบอรี่ ก็ได้รับ อย.เรียบร้อยแล้ว”
 
ณรงค์ กล่าวถึงจุดคุ้มทุนของ “ลุงชมฯ” ว่า แล้วแต่ทำเลที่ตั้ง แต่กำไรขั้นต่ำต่อจุดต่อเดือนก็ประมาณ 3-4 พันบาท จุดคุ้มทุนของแต่ละสาขาก็ไม่น่าเกิน 5-6 เดือน แต่ถ้าทำเลดีมากๆ อย่างจตุจักร ซึ่งขายได้เดือนนึงเป็นหลักหมื่น แค่เดือนสองเดือนก็คืนทุนแล้ว 
 
“สินค้าตัวนี้กำไรประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และสามารถแช่แข็งอยู่ได้นานเป็นเดือนโดยไม่เสียรสชาติ และคุณก็คงขายได้หมดก่อนเดือนนึงแน่ๆ ทำให้ได้กำไรเต็มๆ ไม่มีของเสียทิ้ง ส่วนเรื่องโลเคชั่น เราไม่ต้องการให้ลงไปชนกัน เช่นเห็นตรงนี้ขายดีแล้วก็ลงไป 3-4 เจ้า ก็ไม่ได้ แต่ก็ต้องดูวอลุ่มด้วย เช่นบางที่คนเยอะมาก พื้นที่กว้างมาก อย่างเซ็นทรัล ลาดพร้าว, ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต, แฟชั่น ไอส์แลนด์ หรือสวนจตุจักร สามารถลงได้มากกว่า 1 จุด เราก็ควบคุมดูแลให้ โดยจากดูยอดขายว่ามีผลกระทบอะไรหรือไม่” 
 
แผนการตลาดปีนี้ “ลุงชมฯ” จะเพิ่มรสชาติให้มากขึ้น โดยเป็นคำแนะนำจากลูกค้าที่ต้องการให้มีรสเปรี้ยว บ้าง ส่วนลูกค้าที่เข้ามาซื้อทาน ตอนแรกๆ มองว่าจะเป็นอายุ 30 ขึ้นไป เพราะรู้จักไอติมตัวนี้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้คนรุ่นใหม่ก็ชอบ และก็รู้จักไอติมโบราณมากขึ้น 
 
“ปีนี้เราจะเริ่มทำการตลาดแฟรนไชส์จริงจังมากขึ้น ก็เริ่มมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ตอนนี้ก็มี 10 กว่าสาขาแล้ว ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดคือ ราชบุรี, ชลบุรี, ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร ส่วนที่เชียงใหม่ก็จะเป็นของลุงชมเองที่ขายอยู่แล้ว” 
 
นอกจากนี้ “ลุงชมฯ” ก็กำลังดำเนินการเตรียมตัวเข้าคัดเลือกเป็นสินค้าโอทอปของ จ.เชียงใหม่ด้วย และเตรียมขยายโรงงานเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่ง สร้างศูนย์หลักของแต่ละจังหวัด เพื่อช่วยดูแลแฟรนไชส์และกระจายสินค้าให้แฟรนไชส์ของจังหวัดนั้นๆ ซึ่งในขณะนี้ก็มีตอบรับอยู่ 2 ที่ คือ จ.ราชบุรีและประจวบคีรีขันธ์ 
 
“ส่วนเรื่องการส่งออกตอนนี้ก็อยู่ในขั้นดำเนินการ โดยเราจะให้สูตรเขาไปผลิต เป็นแฟรนไชส์สาขา เหมือนอย่างไอศกรีมต่างชาติที่เขาเข้ามาเปิดสาขาในไทย ซึ่งตอนนี้ที่ติดต่อกันอยู่ก็มีประเทศฟิลิปปินส์ แคนาดา และอเมริกา” ณรงค์ กล่าว 
 
ติดต่อแฟรนไชส์ “ลุงชมไอติมโบราณ” โทร.08-1613-1073
 
อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์
ดาวเด่นแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
รวบรวมขนมปัง 20 บาท มาเอาใจคนอยากมีร้าน
157,522
ชานมไข่มุกปลุกตลาด 7 พันล้าน เทรนด์‘ไต้หวันกลับซ..
99,645
กาแฟสด ชาวดอย ลงทุนน้อย ความเสี่ยงต่ำ ความคล่องต..
81,650
เนสท์เล่ ปูพรมร้านไอศกรีมลงทุนเอื้ออาทร สานฝันคน..
77,812
ปั่นแหลก น้ำผลไม้สด แซงโค้งเข้าวินสร้างอาชีพ
76,558
“เคพีเอ็นพลัส” แฟรนไชส์อะไหล่มอ’ไซด์ ลั่นขยาย100..
55,082
ดาวเด่นแฟรนไชส์มาใหม่
ดาวเด่นแฟรนไชส์อื่นในหมวด