5 เมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ฉลองคริสต์มาส จัดเต็มทั้งเมือง!

 

ด้วยความที่เป็นเทศกาลของชาวต่างชาติ และไม่ใช่เทศกาลธรรมดาแต่คริสต์มาสคือสีสันที่ชาวยุโรปรวมถึงอเมริกามองว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นและเพื่อขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา

บางเมืองในสหรัฐประชาชนเรียกว่าออกมาดื่มกิน ฉลองกันชนิดที่ไม่ต้องทำงาน ธุรกิจ โรงเรียน ต่างก็ใช้เทศกาลนี้เป็นวันหยุดยาวตั้งแต่ 25 เรื่อยไปจนถึงขึ้นศักราชใหม่ก็ยิ่งเป็นการเสริมความคึกคักให้เทศกาลนี้ยิ่งโด่งดังและน่าสนใจมากขึ้น

 

และเป็นประจำทุกปีที่เมืองต่างๆในสหรัฐจะเอาจริงกับการจัดงานเรียกว่าฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดีอีกทางซึ่ง www.ThaiFranchiseCenter.com รวบรวมเอา 5 เมืองใหญ่ที่จัดงานคริสต์มาสในสหรัฐอเมริกามาฝากกันและหวังว่าสักวันถ้ามีโอกาสจะเดินทางไปซึมซับบรรยากาศเหล่านี้ด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง

 

ในเดือนธันวาคมของทุกปี หมู่บ้าน “McAdenville” จะเปลี่ยนชื่อเป็น “Christmas Town USA”  รอบ ๆ หมู่บ้านจะมีการตกแต่งประดับไฟคริสต์มาสกว่า 450,000 หลอด มีต้นไม้ประดับไฟคริสต์มาสกว่า 375 ต้น วางเรียงรายตามถนนในตัวหมู่บ้านส่วนมุมไฮไลท์ยอดฮิตของที่นี่คือบริเวณริมทะเลสาปที่จัดต้นคริสต์มาสเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานทำให้มองเห็นเงาสะท้อนของต้นไม้ในทะเลสาปที่แสนสวยงาม  แถมในทะเลสาปมีน้ำพุสูงถึง 75 ฟุต
 

และตอนกลางคืนเค้าจะเปิดไฟเปลี่ยนสีน้ำพุทุก ๆ 10 วินาทีด้วยเป็นบรรยากาศที่สุดยอดและสวยงามจึงมีนักท่องเที่ยวมาเข้าชมไม่ต่ำกว่า 600,00 คนต่อปี โดยไฮไลท์สำคัญอีกอย่างคือการแจกฟรีช็อคโกแลตร้อนและชาข้าวโพดให้กับ 1,000 คนแรกที่เข้ามาร่วมงานในแต่ละคืนด้วย

เป็นงานคริสต์มาสที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมาก โดยเจ้าของจะปรับแต่งฟาร์มให้เป็นงานเทศกาลคริสต์มาสซึ่งจัดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 หรือเกือบ 68 ปีมาแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาฉลองคริสต์มาสที่นี่จะรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกของเทพนิยายเพราะมีการประดับไฟคริสต์มาสกว่า 1 ล้านดวงเลย

รวมถึงกิจกรรมคริสต์มาสของที่นี่ก็มีหลากหลายเช่น เดินชมแบบจำลองสามมิติ(Diorama) ที่เกี่ยวกับคริสมาสต์,ชมบ้านซานต้าครอส “Santa Headquarters on Santa Claus Lane” ที่จะได้ลูกอมติดมือกลับมาด้วย รวมถึงดูแสงไฟที่สวยงามบน The Kissing Bridgeซึ่งมักจะมีคู่รักมาคุกเข่าขอแต่งงานกันจำนวนไม่น้อยในช่วงเวลาแบบนี้อีกด้วย

 

ในวันแรกของงานคริสต์มาสที่นี่จะมีขบวนพาเหรด “Electric Light Parade” ที่สวยงามตระการตาโดยมีคุณลุงซานต้านั่งอยู่บนรถขบวนสุดท้ายและเป็นคนเสกไฟคริสต์มาสทั่วหมู่บ้านให้สว่างไสวขึ้นอย่างกับใช้เวทมนตร์

ซึ่งถือเป็นการเปิดงานอย่างเป็นทางการในงานจะมีเมืองจำลองเล็กๆ ที่มีกระท่อมเล็กขนาดเท่าคนแคระ 59 หลัง ซึ่งมีธีมที่แตกต่างกันไปเช่น โรงงานคนแคระ บ้านของ The Grinch และปราสาทซานตาคลอสที่เด็ก ๆ สามารถเข้าไปถ่ายรูปกับลุงซานต้าได้ด้วยส่วนไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือการนั่งรถไฟ “ Mini Polar Express ” ผ่านเข้าอุโมงค์ที่ด้านในตกแต่งไปด้วยดาวเรืองแสงสวยงามเหมือนอยู่ในฝัน และที่สำคัญคือเค้าให้นั่งฟรี

 

ด้วยความที่เมือง Nevada city เป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีตึกเก่าแก่แนววินเทจมากมายแถมยังล้อมรอบไปด้วยภูเขาสวย จำนวนมากทำให้บรรยากาศงานคริสต์มาสที่นี่ได้ฉายาว่าเป็น “เทศกาลคริสต์มาสที่สวยเหมือนหลุดออกมาจากการ์ดอวยพร”

เพราะบรรยากาศเมืองจะกลายเป็น Winter Wonderland อย่างสมบูรณ์แบบ มีการประดับไฟสีขาวระยิบระยับ ตะเกียงโบราณ ที่พิเศษที่สุดก็คือผู้คนจะแต่งตัวย้อนยุคสไตล์วิคตอเรียออกมาเดินในงาน ได้อารมณ์บรรยากาศคริสต์มาสแบบวินเทจสุดๆ

 ซึ่งในงานก็จะมีของขายมากมายกว่า 100 ชนิด ทั้งลูกอมแฮนด์เมด เครื่องปั้นดินเผา จิวเวอรี่และยังมีโชว์การแสดงรวมทั้งเล่นดนตรีตามท้องถนนกันอย่างสนุกสนานใครที่เป็นสาวกวินเทจห้ามพลาดเด็ดขาด ที่สำคัญงานนี้เข้าฟรีอีกด้วย

 

จะเป็นการจัดอยู่ริมทะเลสาป “Elkhart”  เป็นตลาดคริสต์มาสแนววินเทจที่ถอดแบบตลาดคริสต์มาสในอดีตของเยอรมันมา ดังนั้นสินค้าที่ส่วนมากที่ขายในงานจะเป็นสินค้านานาชาติจากยุโรป

อย่างเช่น ตุ๊กตาแม่ลูกดกจากรัสเซีย (Matryoshka doll) ตุ๊กตาไม้แกะสลักอเนกประสงค์จากเยอรมัน (German hand-carved smokers and nutcrackers) ผ้าขนสัตว์จากเอสโตเนีย (Estonia Woolens) แพนเค้กมันฝรั่ง (Potato pancakes) ไวน์ร้อน (Glühwein) แต่ถ้าพูดถึงทีเด็ดของที่นี่ก็คงจะเป็นรีสอร์ท “The Osthoff”  ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาป Elkhart ซึ่งมีบรรยากาศแบบคริสต์มาสที่สวยงาม

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษสำหรับครอบครัวและเด็กๆ เช่นเข้าคอร์สแต่งหน้าคุ้กกี้คริสต์มาสกับแซนตี้สาวสวย นั่งรถม้าชมวิวทะเลสาปและกลับมาดื่มโกโก้ร้อนๆที่รีสอร์ท ร่วมทานบุฟเฟ่ต์อาหารเช้ากับคุณลุงซานต้า เป็นต้น

 

เห็นกิจกรรมและความสวยงามของ 5 เมืองใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเฉลิมฉลองและจัดงานสุดยิ่งใหญ่แบบนี้ก็ได้แต่หวังว่าคงมีโอกาสได้ไปเป็นส่วนหนึ่งสักครั้ง และทางที่ดีก็คือหาธุรกิจสักอย่างและรีบลงมือมือทำให้เกิดผลกำไรงอกเงยจะได้ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการไปเยือนเมืองแห่งสีสันในวันคริสต์มาสเหล่านี้ในอนาคตอันใกล้