บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    การตลาดออนไลน์ SEO
6.6K
3 นาที
14 กุมภาพันธ์ 2560
8 รูปแบบธุรกิจออนไลน์ผู้นำโลกไอที งานนี้ต้องเรียนรู้ไว้!

 
รูปแบบการลงทุนที่ถือว่าสุดฮิตติดชาร์จใครๆก็อยากทำนั้นก็คืองานออนไลน์

เหตุผลก็คงไม่ต้องอธิบายเพราะนี่คืองานที่ไม่ต้องนั่งทนอยู่ในออฟฟิศ ไม่ต้องปวดหัวกับทีมงาน ไม่มีความกดดันจากเจ้านาย และไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังกับการทำงานของลูกน้อง

งานออนไลน์ใช้ทักษะการเป็นนายตัวเองทำงานด้วยตัวคนเดียวเป็นสำคัญ คนที่สามารถบริหารจัดการเรื่องเวลาได้ดี และมีการตลาดที่ชาญฉลาดสามารถทำเงินจากธุรกิจนี้ได้อย่างน่าพอใจทีเดียว
 
แต่ที่เห็นว่าดีก็ใช่ว่านึกจะทำก็รวยได้ทันทีทันใด www.ThaiFranchiseCenter.com มองว่าเรื่องของทักษะและกระบวนการจัดการเป็นสิ่งสำคัญมากแม้จะมีข้อดีหลายอย่างแต่ข้อจำกัดที่ทำให้ธุรกิจนี้ไม่ใช่สวรรค์ของคนทุกคนก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

ในโลกออนไลน์มี 8 ผู้นำของธุรกิจที่เรียกว่าเป็นการทำงานแบบ On-demand คือการกระจายงานของตัวเองออกไปผ่านระบบของแอพพลิเคชั่นเพื่อให้คนทางบ้านได้ใช้ทักษะแสวงหารายได้ตามต้องการแน่นอนว่า ธุรกิจที่เป็นผู้นำก็มีตัวเลขการลงทุนรวมกันไม่ต่ำกว่า 94 พันล้านเหรียญ หากเราอยากรู้ว่าผู้นำเหล่านี้มีใครและเราจะเลือกรูปแบบไหนมาเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์เราได้บ้างต้องตามไปดูกันเลย
 
1.Amazon.com

อย่างที่เราทราบกันดีว่า Amazon เป็นผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจ E-commerce และในตอนนี้พวกเขาก็เริ่มให้บริการส่งสินค้าให้กับผู้คนในท้องถิ่นที่มีชื่อว่า Amazon Prime Now โดยเป็นบริการส่งของภายใน 1 ชั่วโมง และในเว็บไซต์ Amazon Flex ได้เปิดรับสมัครพนักงานส่งของ โดยมีรายได้ประมาณ 18 – 25 เหรียญต่อชั่วโมง

ในการส่งสินค้าให้กับ Amazon ถือเป็นการเพิ่มเทคนิคการบริการต่างๆออกมาเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณผู้คนที่ใช้ช่องทางของ Amazon ในการทำธุรกิจและก็ดูเหมือนจะได้ผลอย่างมากกับชื่อเสียงของเว็บไซต์ที่เพิ่มมากขึ้นและทุกวันนี้นึกถึงช็อปปิ้งออนไลน์ก็ต้อง Amazon.com เป็นชื่อแรกกันแทบทุกครั้ง
 
2.Uber

Uber เป็นธุรกิจที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมขนส่งแบบดั้งเดิม ไปสู่อุตสาหกรรมการขนส่งแบบ On-demand เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างธุรกิจสาย Sharing Economy ที่ชัดเจนที่สุดในการอธิบายว่า

ผู้บริโภคจะสามารถช่วยเหลือผู้บริโภคด้วยกันเองได้อย่างไร โดยมีแอพทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนทั้ง 2 ฝั่ง โดยความสำเร็จของ Uber นั้น มาจากคุณค่าของธุรกิจที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้น

ด้วยการส่งมอบบริการขนส่งแบบ On-demand ในราคาที่ถูกกว่าและให้ประสบการณ์ที่ดีกว่า และการอัดแคมเปญโฆษณาที่เราเห็นกันอยู่ก็ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของ Uber ว่าเป็นธุรกิจที่มีรายได้เสริมน่าพอใจถึงขนาดที่บางคนออกมาทำเป็นอาชีพหลักกันเลยทีเดียว
 
3.Lyft

อาจจะมองว่า Lyft นั้นมีสถานะที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Uber ซึ่งให้บริการแบบเดียวกัน คือ Taxi แบบ On-demand ถึงแม้ว่า Lyft จะมีมูลค่าเพียง 5.5 ล้านเหรียญเมื่อเทียบกับ Uber ซึ่งมีมูลค่า 62.5 พันล้านเหรียญซึ่งห่างชั้นกันมาก

แต่ Lyft ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของธุรกิจ โดยการเป็นพาร์ทเนอร์กับ GM โดยสัญญาณการลงทุนบ่งบอกว่า ในอนาคตคนขับอาจต้องการเรียกรถยนต์ไร้คนขับผ่านแอพ มากกว่าที่จะมีรถเป็นของตัวเอง และการที่ธุรกิจเป็นพาร์ทเนอร์กับ GM นั้น ทำให้ Lyft มีโอกาสที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของตนนั้นเติบโตต่อไปได้
 
4.LeadGenius

LeadGenius เป็นธุรกิจช่วยวิเคราะห์ธุรกิจแบบ On-demand ที่ใช้วิธีผสมผสานระหว่างนักวิจัย กับเทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) เพื่อช่วยให้ธุรกิจขยายฐานว่าที่ลูกค้า หรือผู้ที่สนใจเข้าร่วมธุรกิจนั้น ๆ (Lead Generation) LeadGenius มีนักวิจัยจาก 40 ประเทศ และ 53% ของนักวิจัยเหล่านั้นนั้นมีดีกรีตั้งแต่ระดับวิทยาลัยหรือสูงกว่านั้นด้วยวิธีนี้

ทำให้ LeadGenius สามารถแซงหน้าคู่แข่งที่ใช้แต่เพียง Software อย่างเดียวได้ ข้อมูลว่าที่ลูกค้าจะถูกรวบรวมมาโดยใช้เทคโนโลยีล่าสุด แต่นักวิจัยจะมีบทบาทในการเลือกและคัดกรองว่าที่ลูกค้าที่มีคุณภาพ เพื่อทำให้ธุรกิจมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และมีคุณภาพสูงที่สุด
 
5.Alfred

Alfred ธุรกิจสาย Sharing Economy ที่ให้บริการช่วยทำงานจิปาถะต่าง ๆ ในภาคครัวเรือน ในแอพของ Alfred จะเป็นการรวบรวมบริการต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้คนในท้องถิ่นสามารถให้บริการผ่านแอพได้ เช่น การไปจ่ายตลาด การรับซักแห้ง และทำความสะอาดบ้านด้วยแอพ Alfred

ผู้ให้บริการจะเรียนรู้ว่า ในเวลานั้น ๆ ลูกค้าต้องการบริการอะไร ค่าบริการอยู่ในช่วง 15-42 เหรียญต่อสัปดาห์ และ Alfred ก็ได้ขยายการให้บริการในเมืองใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น San Francisco, Los Angeles, Washington, D.C. และ Chicago นอกจากนี้ในอนาคตพวกเขาก็มีแผนขยายไปยังเมืองอื่น ๆ อีกด้วย
 
6.Instacart
 
Instacart หรือบริการจ้างไปจ่ายตลาดแทน โดยธุรกิจนี้จะรวบรวมนักช็อปในท้องถิ่นที่ให้บริการ เพื่อไปซื้อและส่งของชำจากร้านค้าต่าง ๆ อาทิ Whole Foods, Target, Costco, และ Safeway ให้กับลูกค้าแม้ว่านักช็อปส่วนใหญ่จะเป็นผู้รับจ้างอิสระ (Independent Contractor)

แต่ก็มีบางพื้นที่ที่ Instacart เปิดโอกาสให้นักช็อปเหล่านั้นสามารถสมัครเป็นพนักงาน Part-time ได้ แม้ว่าธุรกิจกำลังไปได้ดี แต่การแข่งขันที่สูงขึ้นจากคู่แข่งอย่าง Amazon Prime Now และ Walmart Grocery บังคับให้ธุรกิจจำเป็นต้องตัดรายจ่ายบางอย่างออกไป
 
7.TaskRabbit

TaskRabbit ให้บริการตั้งแต่ปี 2008 และกำลังขยายตัวไปตลาดใหม่ เพื่อผู้คนในท้องถิ่นสามารถนำเสนอบริการ จากความเชี่ยวชาญที่พวกเขามีได้ เช่น ช่วยขนย้ายสิ่งของ ทำความสะอาด ประกอบเฟอร์นิเจอร์ Ikea ซ่อมบ้าน และอื่น ๆ อีกมากมาย

และจำนวนผู้ใช้งานของ TaskRabbit มีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตัวอย่างในปี 2013 นั้นมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นสูงสุดกว่า  1.25 ล้านคน และปัจจุบันมีผู้รับจ้างอิสระเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอยู่ที่ 25,000 ราย
 
8.Google

หลายคนมักคิดว่า Google ทำแต่ธุรกิจ Search Engine แต่แท้จริงแล้ว Google มีการซอยย่อยธุรกิจของตัวเองเช่นกันโดยจะเป็ฯการเข้าไปมีบทบาทในอุตสาหกรรมที่สร้างนวัตกรรมต่าง ๆ มากมาย RideWith เป็นธุรกิจใช้รถร่วมกัน (Ride Sharing แบบ Uber และ Lyft) ซึ่งปัจจุบันกำลังทดสอบที่อิสราเอล แม้ RideWith มีทำงานคล้ายกับ Uber และ Lyft

แต่ต่างกันตรงที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบริการนี้ได้ผ่านแพลตฟอร์มของ Waze เท่านั้น ใครก็ตามที่ต้องการใช้บริการรถเพื่อรับส่งไปยังจุดหมาย เพียงแค่เข้าไปที่กรอกข้อมูลการติดต่อไว้ จากนั้นแอพจะแสดงตำแหน่งคนขับในละแวกนั้นให้เรียกใช้บริการได้ทันที
 
อย่างไรก็ตามการเลือก1ใน8ผู้นำโลกธุรกิจออนไลน์มาเป็นแพลตฟอร์มในการทำธุรกิจตัวเองก็ต้องดูความเหมาะสมของตัวเองเป็นหลัก อีกทั้งเราต้องก้าวให้ทันตามกระแสของโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เชื่อว่าในอีก 2-3 ปีจากนี้จะต้องมีแอพตัวใหม่หรือผู้บริการรายใหม่เกิดขึ้นมา ดังนั้นการเตรียมตัวให้พร้อมวางแผนตลาดให้ดีโอกาสทำธุรกิจออนไลน์ก็จะเดินทางในสายนี้ได้นานและมีความมั่นคงเพิ่มขึ้นด้วย


SMEs Tipc (ธุรกิจออนไลน์ทำแบบไหนถึงจะรวย)
  1. หาสินค้าหรือรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมกับตัวเองให้เจอ
  2. หาความรู้และเพิ่มเติมทักษะทางเทคโนโลยีตลอดเวลา
  3. ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
  4. รู้จักการประยุกต์ใช้การตลาดผสมผสานกับเทคโนโลยี
ทั้งนี้เรามีพื้นที่สำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ให้คนที่สนใจได้เข้ามาเปิดหน้าร้านโปรโมทสินค้าได้ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจกับลูกค้าได้มีโอกาสพบกันมากขึ้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ goo.gl/dJygD7
 
ขอบคุณข้อมูลจาก goo.gl/JDXDlY
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
610
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
510
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
431
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
414
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
412
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด