มวยถูกคู่! คาเฟ่อเมซอน Vs อินทนิล
เชื่อว่าหลายคนพอจะรู้มาบ้างว่า “คาเฟ่อเมซอน” เป็นของฝั่งสถานีบริการน้ำมันปตท. ส่วน “อินทนิล” คือแบรนด์จากปั้มน้ำมันบางจาก แต่ในความเหมือนของกันของจุดยืนทางด้านการตลาด จึงทำให้ปัจจุบัน 2 แบรนด์ดังด้านกาแฟ ต้องแสวงหาความต่างขึ้นมาเป็นของตัวเอง เพื่อเป็นทั้งจุดแข็งและเพื่อเป็นแรงจูงใจดึงดูดลูกค้า
วันนี้
www.ThaiFranchiseCenter.com จะพาคุณผู้อ่านไปเจาะลึกถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ “คารเฟ่อเมซอน” และ “อินทนิล” มาดูพร้อมๆ กันเลยว่า ทั้ง 2 แบรนด์ดังกาแฟ จะแลกหมัดถึงพริกถึงขิง มันหยดแค่ไหนกันครับ
กลยุทธ์ปลุกปั้น “คาเฟ่อเมซอน”
ปตท. ใช้เวลาเกือบ 15 ปี ปลุกปั้นแบรนด์ร้านกาแฟ “คาเฟ่อเมซอน (Café Amazon)” ขึ้นชั้นเป็นธุรกิจนอนออยล์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุด รายได้แตะ 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นสัดส่วน 50% ของกลุ่มนอนออยล์ และจุดพลุให้บริษัทน้ำมันทุกค่ายเข้ามาเล่นเกมในสมรภูมิจีสโตร์อย่างดุเดือด
โดยเฉพาะคู่แข่ง “อินทนิล” ของ “บางจาก” คาเฟ่อเมซอนเปิดมานานกว่า 14 ปี และถึงจุดที่จะต้องปรับภาพลักษณ์ให้สดใหม่ ไม่ใช่แค่การเพิ่มคุณภาพด้านบริการและสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้า แต่ต้องเพิ่มกลยุทธ์การแข่งขัน เพราะมีคู่แข่งรายใหม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่าคาเฟ่อเมซอนเป็นธุรกิจนอนออยล์ที่เกิดขึ้น เพื่อเติมเต็มการให้บริการแบบครบวงจรในสถานีบริการน้ำมัน ตั้งแต่ปี 2545 ขณะเดียวกันตลาดธุรกิจกาแฟสดมีโอกาสเติบโตสูงมาก เนื่องจากอัตราการดื่มกาแฟคนไทยยังต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา
ระยะแรก ปตท. เน้นการขยายสาขาไปยังสถานีบริการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งเส้นทางหลักที่มุ่งสู่จังหวัดในภาคต่างๆ ก่อนขยายไปสู่ภาคกลาง ภาคอีสานและภาคเหนือ โดย 3 ปีแรก สามารถผุดสาขามากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ
นับตั้งแต่ปี 2547-2550 เป็นยุคที่คาเฟ่อเมซอนขยายสาขาไปกับปั๊มปตท.ภาพลักษณ์ใหม่และกลายเป็นร้านกาแฟที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทย คือ 230 แห่ง จากนั้นเติบโตแบบก้าวกระโดดชนิดปูพรม ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน รวม 500 สาขา จนกระทั่งขึ้นชั้นเป็นธุรกิจร้านกาแฟสดที่มีเครือข่ายมากที่สุดในประเทศไทย
4 ปีต่อมา ปตท.จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม Café Amazon Coaching Academy ลุยขยายสาขานอกปั๊มน้ำมัน พร้อมๆ กับลุยระบบธุรกิจรูปแบบแฟรนไชส์ ซึ่งส่งผลให้ “คาเฟ่อเมซอน” กลายเป็นแฟรนไชส์ดาวเด่นที่มีผู้สนใจลงทุนจำนวนมาก
ปี 2556 จำนวนร้านแตะ 1,200 แห่ง และเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในแง่สาขาที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 200-250 สาขา และรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20-25% โดยปี 2559 บริษัทแม่ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 1,700 สาขา สร้างรายได้รวม 7,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนอยู่ที่ 5,400 ล้านบาท
ปี 2559 ท่ามกลางคู่แข่งเปิดสงครามรอบด้านปตท.งัดยุทธศาสตร์ใหม่ ทุ่มเม็ดเงิน 500 ล้านบาท สร้างศูนย์ธุรกิจคาเฟ่อเมซอน (Amazon Inspiring Campus: AICA) ที่ ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ในฐานะเจ้าของธุรกิจกาแฟสดที่มีมาตรฐานทุกขั้นตอนการผลิต ให้ผู้สนใจ
ทั้งนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าคนไทย ชาวต่างชาติ สามารถเยี่ยมชมขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การคัดเลือกและรับซื้อเมล็ดกาแฟ จนนำไปผลิตเป็นเครื่องดื่มถึงมือลูกค้า
ประกอบด้วย โรงคั่วกาแฟที่ผ่านการรับรองระบบมาตรฐาน ขนาดกำลังการผลิต 2,700 ตันต่อปี สามารถรองรับการขยายธุรกิจร้านกาแฟมากกว่า 10 ปี ศูนย์ฝึกอบรมบาริสต้า และแหล่งถ่ายทอดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กาแฟ
![](https://www.thaifranchisecenter.com/document/franchise/picture/document_2763_p5_20170615145048.jpg)
เป้าหมาย คือการเตรียมความพร้อมบุกตลาดต่างประเทศ หลังจากนำร่องในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัจจุบันมีสาขารวม 28 แห่ง แบ่งเป็นประเทศ สปป.ลาว 14 สาขา และกัมพูชา 14 สาขา รวมทั้งเตรียมเข้าไปเปิดในเมียนมา และฟิลิปปินส์
นอกจากนี้ มีนักลงทุนจากญี่ปุ่นจะเปิดคาเฟ่อเมซอนที่ญี่ปุ่น 1-2 สาขา เพื่อทดลองตลาด และผู้บริหารสถานีบริการน้ำมันโอมานออยล์ สนใจนำร้านคาเฟ่อเมซอนไปเปิดในปั๊มน้ำมันที่โอมาน จำนวน 2-3 สาขาด้วย
สำหรับจุดแข็งของคาเฟ่อเมซอน อยู่ที่รสชาติกาแฟอันเข้มข้น ถูกใจคอกาแฟคนไทย บวกกับจำนวนสาขาที่มาก ทำให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย รวมไปถึงตกแต่งบรรยากาศภายในร้านให้ดูผ่อนคลาย เหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ช่วยให้ดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟ ได้อย่างเต็มที่
ผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์ร้านคาเฟ่ อเมซอน ปตท. แนะนำว่า หากตั้งสาขาในอาคาร ควรมีขนาดเริ่มต้นที่ 40-100 ตารางเมตร ส่วนร้านแบบสแตนอะโลน จะเริ่มต้นที่ 100-150 ตารางเมตร โดยขนาดเริ่มต้นที่ 40 ตารางเมตร จะใช้เงินลงทุนประมาณ 2-3 ล้านบาท ราคานี้รวมค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ 150,000 บาท ซึ่งต้องต่ออายุทุก 6 ปี
ขณะที่รายได้ที่ได้มา จะเรียกเก็บส่วนแบ่ง ร้อยละ 6 โดยครึ่งหนึ่งนำใช้ในการสร้างแบรนด์ และโปรแกรมส่งเสริมการขาย โดยจำนวนแก้วที่ขายได้ ควรอยู่ที่ 150-200 แก้วต่อวัน
กลยุทธ์ปลุกปั้น “อินทนิล”
ด้าน “บางจาก” ซึ่งน่าจะเป็นคู่แข่งที่ต้องทำงานหนักที่สุด เพื่อไล่ตามผู้นำตลาด แม้ในเชิงกลยุทธ์แล้ว บางจากอาจไม่ยึดแนวทางแบบ Aggressive เน้นการทำงานร่วมกับชุมชน จนดูเหมือนว่าธุรกิจร้านกาแฟอินทนิลยังก้าวไปอย่างช้าๆ แต่หลังจากนี้ บางจากอาจต้องเพิ่มกลยุทธ์เชิงรุกมากขึ้น
บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) มีสถานีบริการน้ำมันประมาณ 1,070 แห่ง แบ่งเป็นปั๊มมาตรฐาน 460 แห่ง ปั๊มระดับชุมชน 610 แห่ง โดยเร่งเสริมแม็กเน็ตต่างๆ ในปั๊มมาตรฐาน ทั้งร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมีมินิบิ๊กซีเป็นพันธมิตรหลักและร้านกาแฟอินทนิล
มีรายงานข่าว บางจากกำลังศึกษาร้านกาแฟโมเดลใหม่ สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับแมส เพื่อขยายฐานผู้บริโภคที่เลือกซื้อกาแฟจาก “ราคา” เป็นหลัก เพิ่มจากร้านที่มีอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ อินทนิลคอฟฟี่ พื้นที่ขนาด 50 ตารางเมตร
เจาะตลาดระดับกลาง และอินทนิลการ์เด้น พื้นที่ขนาด 90 ตร.ม.เจาะตลาดระดับพรีเมียม โดยราคากาแฟของร้านทั้งสองโมเดล เฉลี่ยต่างกัน 20-25 บาทต่อแก้ว แผนลงทุนเมื่อปี 2559 บางจากตั้งเป้าเปิดร้านอินทนิลเพิ่มขึ้น 64 แห่ง จากจำนวนสาขาล่าสุด 386 แห่ง แบ่งเป็นอินทนิล คอฟฟี่ 356 แห่ง และอินทนิล การ์เด้น 30 แห่ง
หรือจนถึงสิ้นปีจะมีสาขารวม 450 แห่ง นอกจากนี้ เตรียมทดลองเปิด “อินทนิล ไดรฟ์ทรู” สาขาแรกในย่านศรีนครินทร์ พื้นที่ 100-200 ตร.ม. ประมาณปลายปีนี้ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ใหม่ของกลุ่มลูกค้า
รูปแบบการตกแต่งร้าน “อินทนิล” ที่ให้ความรู้สึกเหนือระดับทันสมัย มีเมนูอาหารหลากหลาย จึงสามารถเพิ่มยอดขาย Per head ได้สูงขึ้น พร้อมแนวคิด CSR นั่นเพราะ “อินทนิล” ต้องการเชื่อมโยงไปยังหัวใจของแบรนด์บางจาก ที่เน้นเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงนำเอากาแฟออแกนิคมาใช้ซึ่งกาแฟออแกนิคในสายตาผู้บริโภคคือกาแฟรักษ์โลก
ไม่ใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีฉีดพ่น นอกจากนั้นยังตอกย้ำคอนเซ็ปท์รักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำแก้วไบโอมาใช้ในร้านทุกสาขา ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ในแง่ของคุณภาพ เกิดเป็นแบรนด์ที่มีความโดดเด่น มีกลุ่มลูกค้าแฟนคลับ
ด้านร้านกาแฟ "อินทนิล" ปัจจุบันมีสาขาทั่วประเทศ 400 สาขา มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ และมีแผนขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยชูคอนเซ็ปต์ "กาแฟรักษ์โลก" นำความเป็นกรีนมาตกแต่งร้าน
ทั้งการใช้วัสดุรีไซเคิลในการตกแต่ง บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ การรณรงค์นำแก้วส่วนตัวมาใส่เครื่องดื่ม เพื่อรับส่วนลด 5 บาท แผนการตลาดนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อช่วยเลือกผู้ประกอบการที่มีอุดมการณ์เดียวกันเข้ามาซื้อแฟรนไชส์
การลงทุนแฟรนไชส์ ร้านอินทนิล การ์เด้น ระยะเวลาให้สิทธิ 6 ปี ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (FRANCHISE FEE) 250,000 บาท, เงินค้ำประกันสัญญา 100,000 บาท, ค่าออกแบบและจัดทำแบบก่อสร้าง 100,000 บาท, ค่าบริการ SOFTWARE ระบบ POS รายปี 27,000 บาท, เงินลงทุนค่าอุปกรณ์การขายและวัตถุดิบครั้งแรก เช่น เครื่องชงกาแฟ เครื่องบดกาแฟ เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ฯลฯ (ประมาณการ) 550,000 บาท และการก่อสร้างและตกแต่งร้าน (ประมาณการ) 1-3 ล้านบาท
ขณะที่คอฟฟี่ร้านอินทนิล มีรูปแบบการลงทุน คือ ระยะเวลาให้สิทธิ 6 ปี ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (FRANCHISE FEE) 200,000 บาท, เงินค้ำประกันสัญญา 100,000 บาท, ค่าออกแบบและจัดทำแบบก่อสร้าง 50,000 บาท, ค่าบริการ SOFTWARE ระบบ POS รายปี 27,000 บาท, เงินลงทุนค่าอุปกรณ์การขายและวัตถุดิบครั้งแรก เช่น เครื่องชงกาแฟ เครื่องบดกาแฟ เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ฯลฯ (ประมาณการ) 550,000 บาท, การก่อสร้างและตกแต่งร้าน (ประมาณการ) 1-2 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ และค่าส่วนแบ่งรายได้ (Loyalty Fee) 6%จากยอดขาย
จะเห็นได้ว่า ปัจจุบันปั้มน้ำมันไม่ได้แข่งขันกันเพียงเรื่องคุณภาพของน้ำมัน ผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าน้ำมันเป็นสินค้าตัวหนึ่งเท่านั้น น้ำมันยี่ห้อไหนก็คงมีคุณภาพใกล้เคียงกัน นั่นเพราะ Production และ Innovation ในยุคนี้สามารถพัฒนาขึ้นมาเทียบเคียงกันได้ แต่จุดที่ลูกค้ามองหาเพิ่ม คือ องค์ประกอบของสิ่งอำนวยความสะดวก
ตารางเปรียบเทียบมวยถูกคู่ คาเฟ่อเมซอน Vs อินทนิล
|
คาเฟอเมซอน
|
อินทนิล
|
เจ้าของ
|
ปตท. |
บางจาก
|
จำนวนสาขา
|
> 1,700 |
> 400
|
ค่าแฟรนไชส์ (บาท)
|
150,000
|
200,000-250,000
|
ตำแหน่งทางการตลาด
|
ร้านกาแฟในปั้มน้ำมัน
|
ร้านกาแฟในปั้มน้ำมัน
|
จุดยืนธุรกิจ
|
ขยายสาขาไปต่างประเทศ
|
รักษาสิ่งแวดล้อม
|