บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    รีวิวหนังสือ สปอยหนัง
2.6K
2 นาที
2 กรกฎาคม 2564
Review หนัง The Pursuit of Happyness (2006)
 

เชื่อว่าหากถามคอหนังจะหาหนังดีๆ ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตและดำเนินธุรกิจมาดูสักเรื่อง เชื่อแน่ว่าหนังเรื่อง The Pursuit of Happyness จะต้องติดโผอันดับ 1 ใน 5 ของหลายคนอย่างแน่นอน สำหรับใครที่ยังไม่เคยชมหนังเรื่องนี้ ต้องไม่พลาด! วันนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com จะมารีวิวให้ชมกันอีกครั้งครับ
 
The Pursuit of Happyness ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 2006 นำแสดงโดย Will Smith และ ลูกชายตัวน้อย Jaden Smith หนังเรื่องนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวชีวิตของนายหน้าค้าหุ้น หรือ Broker คนหนึ่งที่ชื่อ “คริสโตเฟอร์ การ์ดเนอร์” (Christopher Garder) กว่าที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างไรบ้าง 
 
ภาพจาก bit.ly/3ygXV7y
 
สำหรับเนื้อเรื่องย่อๆ ของ The Pursuit of Happyness เริ่มต้นที่ชีวิตของคริสพระเอกในเรื่อง เขามีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีภรรยาและลูกชาย 1 คน ภรรยาของเขาทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ส่วนคริสทำงานขายเครื่องสแกนกระดูก โดยเขาได้ใช้เงินเก็บทั้งหมดไปลงทุนกับเจ้าเครื่องนี้  ไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ชนิดหนึ่งจากบริษัท 
 
เพื่อนำมาขายต่อให้กับคุณหมอในโรงพยาลและคลินิกต่างๆ โดยในช่วงแรกการลงทุนได้รับผลตอบแทนดีมาก แต่ในตอนหลังๆ เครื่องสแกนกระดูกแทบขายไม่ได้ ทำให้เงินทุนทั้งหมดที่เขามีจมไปกับเครื่องสแกน ส่งผลให้เกิดปัญหาทางด้านการเงินภายในครอบครัว ทางด้านคริสก็ออกจากบ้านทุกวัน เพื่อตระเวนขายเครื่องสแกนกระดูกตามที่ต่างๆ แต่สุดท้ายก็ขายไม่ได้ นำเครื่องสแกนกระดูกกลับบ้านทุกครั้ง ทำให้ภรรยาเริ่มทนไม่ไหวเนื่องจากเห็นสามีล้มเหลว ประกอบกับตัวเองต้องทำงานหนักขึ้น บางวันต้องทำ 2 กะ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว กลายเป็นจุดแตกหักให้ทั้งคู่แยกทางกันในที่สุด 

ภาพจาก imdb.to/3yd2KP6
 
โดยคริสได้นำลูกชายมาอยู่ด้วย เริ่มจากการออกมาเช่าห้องเล็กๆ พร้อมกับการขายเครื่องสแกนกระดูกไปด้วย แต่สถานการณ์ทางการเงินก็ไม่ดีขึ้น กลับแย่ลงไปอีก ในเวลาต่อมาคริสบังเอิญได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่งตัวดี ก้าวออกมาจากรถสปอร์ตคันหรูในย่านวอลสตรีท ซึ่งเป็นแหล่งการเงินที่สำคัญของอเมริกา 
 
คริสจึงเดินเข้าไปถามชายคนนั้นว่าเขาทำงานอะไร ทำไมซื้อรถคันนี้ได้ เหมือนกับว่าทำอาชีพอะไรถึงได้รวยขนาดนี้ ผู้ชายคนนั้นจึงตอบว่า ทำงานเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ หรือ Stock Broker 
 
หลังจากนั้น คริสได้พยายามเข้าไปสมัครโครงการฝึกงานกับบริษัท broker ใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นโครงการที่ให้ผู้สมัครทุกคนได้มาลองฝึกงานและเรียนรู้สัมผัสชีวิตการเป็น broker และมีการสอบวัดผลในตอนท้าย ซึ่งการฝึกงานนี้ไม่มีค่าตอบแทนให้ ทำฟรีๆ คนที่ได้คะแนนสูงสุดก็จะได้ทำงานที่บริษัทแห่งนี้ และได้เงินค่าตอบแทนสูง
 

ภาพจาก bit.ly/3hbd6Js
 
คริสเริ่มเข้าไปฝึกงานที่นี่ หน้าที่หลักคือโทรหาลูกค้าและชักชวนให้ลงทุนซื้อหุ้น ยิ่งใครโทรหาลูกค้าได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสมากเท่านั้น ซึ่งคริสเสียเปรียบผู้สมัครคนอื่นๆ เนื่องจากทุกๆ วันเขาจะมีเวลาทำงานน้อยกว่าคนอื่น เพราะต้องรีบไปรับลูกชายจากศูนย์ดูแลเด็ก และมาต่อคิวแย่งกันเพื่อให้ได้โควต้าที่พักในศูนย์พักพิงฟรี ซึ่งในช่วงนี้คริสและลูกถือว่าลำบากสุดๆ ไม่มีบ้านอยู่ ต้องไปอยู่ที่ศูนย์ดูแลคนไร้บ้าน และตระเวนเปลี่ยนที่พักไปทุกคืน บางวันถึงกับนอนในห้องน้ำก็มี
 
ในช่วงกลางๆ ของเรื่อง หนังจะนำเสนอให้เห็นถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตของคริส ไหนจะต้องทำงาน ไหนจะต้องรีบมาต่อคิวแย่งที่พัก และในตอนกลางคืนก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบการเป็น broker ด้วย บางคืนก็ต้องออกมาอ่านตามทางเดินในศูนย์พักพิงที่มีแสงไฟสว่างเพียงน้อยนิด บางวันไม่มีเงินก็ต้องไปบริจาคเลือดเพื่อแลกกับเงิน
 

ภาพจาก bit.ly/3hbd6Js
 
และหนึ่งในฉากที่คนดูแทบสะเทือนใจสุดๆ ก็คือ คริสไม่สามารถหาที่พักได้ จึงต้องพาลูกชายไปนอนอยู่ในห้องน้ำสาธารณะ นอนกอดลูกชายไปพร้อมกับน้ำตาไหล เรียกได้ว่าคนดูแทบจะร้องไห้ตามไปด้วย 
 
ด้วยความพยายามและไม่ยอมแพ้ของคริส ในที่สุดก็สอบได้คะแนนมากที่สุด และได้ทำงานเป็น broker ที่บริษัทแห่งนี้  นับเป็นจุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้คริสกลายมาเป็น broker ที่ไม่มีใครทักเทียมได้ 
 
สำหรับฉากประทับใจในตอนท้าย เป็นฉากที่ผู้บริหารเรียกคริสเข้าไปในห้องเพื่อจะบอกว่า “พรุ่งนี้ไม่ต้องมาฝึกงานแล้วนะ” ทำให้คริสนิ่งไปพักหนึ่ง และผู้บริหารคนนั้นนก็พูดต่อว่า “แต่พรุ่งนี้ให้เข้ามาทำงานได้เลย” และ ประโยคหนึ่งที่หลายๆ คนชอบ ก็คือ คำพูดของของผู้บริหารบอกกับคริสว่า “Life isn’t easy?” ชีวิตไม่ง่ายเลยจริงมั้ย ซึ่งคริสก็ตอบ “Yes” และก็มีน้ำตาไหลออกมา หลังจากนั้นเส้นทางชีวิตของเขาและลูกก็เริ่มมีแสงสว่างสดใส มีเงิน มีบ้าน มีชีวิตดีสุดๆ 
 

ภาพจาก bit.ly/3hbd6Js
 
หนังก็จบลงเพียงเท่านี้ จะเห็นได้ว่าคนที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตตัวเองอย่างคริส ได้พิสูจน์ให้กับคนทั่วโลกเห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ชีวิตผ่านความยากลำบากขนาดไหน ก็ยังเดินหน้าต่อไป ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหาอุปสรรค 
 
หนังเรื่องนี้ยังทำให้รู้ว่าการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นไม่ใช่ได้มาง่ายๆ ต้องมีความพยายามอย่างถึงที่สุดกว่าจะได้ความสำเร็จนั้นมา เมื่อคุณท้อแท้กับชีวิตอยากให้คุณได้ดูหนังเรื่องนี้ คุณจะมีพลังลุกขึ้นมาสู้ทันทีครับ
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise


 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ www.thaifranchisecenter.com/document

รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
แค่ใส่ใจ ใช้ให้เป็น Data-Driven Marketing อาวุธล..
2,347
ผู้กำกับ งานหด...สู่ครีเอเตอร์ TikTok ปั้นคอนเทน..
2,049
เศรษฐกิจไร้สัญญาณฟื้น! ทุบธุรกิจไทย เจ๊งแล้ว เจ๊..
1,235
ร้านอาหารไทย หมดแรง กำลังซื้อหด ต้นทุนสูง ปิดตัว..
725
จ่ายเท่าไหร่ ถ้านำสินค้าเข้าไปขายใน 7-Eleven
711
พลิกโฉม! 5 เทคนิค ทำธุรกิจแนวญี่ปุ่น ไม่เคยบอกใคร
673
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด