“โจ๊ก” เป็นหนึ่งในเมนูยอดฮิตที่อยู่คู่คนไทยมาแสนนาน หลายคนอาจมองว่านี่คือมื้อเช้าที่สะดวกและรวดเร็ว แต่เชื่อหรือไม่ว่าโจ๊กเป็นสินค้าขายดีทุกช่วงเวลาไม่ว่าจะเช้า กลางวัน เย็น แถมยังเป็นอาหารที่กินได้ทุกวันแบบไม่มีเบื่อ ด้วยเหตุนี้มีหลายคนสนใจอยากเปิดร้านขายโจ๊ก แต่ถึงแม้จะดูว่าเป็นเมนูง่ายๆ แต่ทำให้อร่อยจนลูกค้าติดใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ซึ่ง “โจ๊กสยาม” เป็นอีกตำนานความอร่อยที่มีประสบการณ์ในธุรกิจมานานกว่า 20 ปี และได้มีการรีแบรนด์ รวมถึงพัฒนาธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการขยายสาขาในระบบแฟรนไชส์ให้เลือกลงทุนได้ทั่วประเทศอีกด้วย

 

 

ก่อนจะไปพูดถึงว่า “โจ๊กสยาม” ลงทุนแล้วดียังไง เราต้องไปรู้จักความเป็นมาพอสังเขปให้เห็นเส้นทางของธุรกิจว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร โดยคุณสมชัย ธุระกิจเสรี และคุณวนาพร ธุระกิจเสรี ได้เริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารครั้งแรกในปี 2545 เปิดเป็นร้านโจ๊กแห่งแรกในย่านโชคชัย 4 ซึ่งมีการปรับปรุงและพัฒนาสูตรให้อร่อยถูกใจคนไทย จนได้รับเครื่องหมายประกันความอร่อย “เชลล์ชวนชิม” จาก มรว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ 

 

ต่อมาปลายปี 2547 ได้เปิดตัวร้านโจ๊กแบรนด์ใหม่ และได้เปลี่ยนชื่อร้านดั้งเดิมที่โชคชัย 4 เป็น “โจ๊กสยาม” ซึ่งเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของธุรกิจดำเนินผ่านหลักการของ “การให้และแบ่งปัน” เน้นการขยายสาขาด้วยการให้พนักงานมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและแบ่งปันความเป็นเจ้าของ นำไปสู่บริการที่ใส่ใจและโจ๊กที่อร่อยได้มาตรฐาน จึงไม่น่าแปลกใจที่ “โจ๊กสยาม” จะขยายสาขาได้อย่างต่อเนื่อง ปลายปี 2562 มีสาขาถึง 12 แห่ง 
 

 

ในปี 2557 โจ๊กสยามได้มีการรีแบรนด์ครั้งที่ 1 เป็นการปรับเปลี่ยนป้ายร้านใหม่ให้ดูทันยุคทันสมัยเพื่อใช้กับสาขาที่เปิดใหม่ต่อไป สาขาแรกที่ใช้รูปแบบและป้ายหน้าร้านใหม่นี้ คือ “โจ๊กสยาม สาขาอุดมสุข” ทั้งนี้โจ๊กสยามได้มีการเติบโตทางธุรกิจมาเป็นลำดับ พร้อมกับลูกค้าที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทางผู้บริหารจึงมองเห็นว่านี่คือธุรกิจที่พร้อมสร้างอาชีพให้กับคนไทยได้อีกจำนวนมาก จึงได้รีแบรนด์โจ๊กสยามครั้งที่ 2 พร้อมกับปรับคอนเซ็ปต์ใหม่เป็น Family meal อีกทั้งได้พัฒนาธุรกิจเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์ โดยเริ่มขายแฟรนไชส์ตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา

 

 

เอกลักษณ์ของ “โจ๊กสยาม” คือ เนื้อโจ๊กที่เนียนละเอียด หอมกลิ่นกระเทียมเจียว และนอกจากโจ๊กที่เป็นเมนูหลัก ก็ยังมีอีกหลายเมนูให้ลูกค้าเลือกอร่อยได้ตามต้องการ เช่น บักกุ๊ดเต๋ , ต้มเลือดหมู , เกี๊ยวน้ำ เป็นต้น โดยให้บริการแบบ 
 

Table Service ซึ่งลูกค้าสามารถนั่งทานที่ร้าน หรือซื้อกลับบ้านก็ได้ และมีบริการเดลิเวอรี่ผ่านแพลตฟอร์มแอพพลิเคชั่นต่างๆด้วย ปัจจุบัน “โจ๊กสยาม” มีสาขา 22 แห่ง และเป็นธุรกิจแบบ Family meal ที่ขายดีในทุกทำเล เป็นเมนูอาหารง่ายๆ ที่กินได้ทุกวัย ทุกวัน แถมราคาไม่แพง สามารถสร้างรายได้แบบ Passive Income ให้กับผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดีด้วย
 

ลงทุนเท่าไหร่? รายได้ดีแค่ไหน?

การลงทุนกับโจ๊กสยาม สามารถเลือกได้ 2 รูปแบบคือ
 

 

สังเกตว่าจะใช้งบลงทุน 500,000 – 800,000 บาท ระยะเวลาสัญญา 5 ปี โอกาสคืนทุนประมาณ 24 เดือน (2ปี) นั่นหมายความว่า ช่วงเวลาที่เหลืออีก 3 ปี คือโอกาสในการสร้างกำไรให้กับธุรกิจได้อย่างเต็มที่ โดยสิ่งที่ผู้ลงทุนจะได้รับนอกเหนือจากสิทธิในการใช้แบรนด์ , เครื่องหมายการค้า ยังจะได้รับการออกแบบร้าน , การเตรียมความพร้อมสอนเทคนิคการเปิดร้าน พร้อมทีมงานสนับสนุนให้คำปรึกษาเป็นอย่างดี มีการส่งเสริมด้านการตลาดให้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย

 

 

หลายคนอาจมองว่าการเปิดร้านโจ๊กนั้นไม่ยาก แต่ถ้ามองให้ลึกถึงแก่นของธุรกิจถ้าอยากเปิดร้านแล้วขายดี มีรายได้มาก เรื่องอุปกรณ์อาจไม่น่าห่วงเท่าไหร่แต่สำคัญคือ เรื่องของวัตถุดิบที่ต้องเตรียมหลายอย่างเช่น ข้าวหอมมะลิ , กระดูกหมู , เนื้อหมู ,ตับหมู , ไส้หมู , ต้นหอม , ขิง ซึ่งแต่ละอย่างก็มีขั้นตอนการทำพิถีพิถันต้องคนทำเป็นจึงจะทำออกมาได้ดี ไหนจะเรื่องสูตรอาหาร อย่าคิดว่าเป็นแค่โจ๊ก เอามาต้มๆ รวมกันก็กินได้ ต้องมีสูตรอร่อยที่ไม่เหมือนใคร จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมลงทุนในระบบแฟรนไชส์กับโจ๊กสยามจึงจะประสบความสำเร็จได้มากกว่า ซึ่งหากมองข้อดีของแฟรนไชส์โจ๊กสยามมีหลายอย่างที่การันตีว่าคุ้มค่าแน่นอน
 

 

ภาพจาก แฟรนไชส์โจ๊กสยาม 

ถือเป็นสุดยอดแฟรนไชส์ที่น่าลงทุนมาก มาพร้อมทั้งเมนูน่าสนใจและระบบบริหารจัดการที่ส่งเสริมคนสนใจลงทุนได้เป็นอย่างดี ธุรกิจนี้ขอแค่มีทำเลที่ดี มีความขยันและตั้งใจบริหารงานจริงๆ สามารถสร้างรายได้แบบไร้ขีดจำกัด มีโอกาสขยายสาขาตัวเองเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตอีกด้วย

 

นักเขียน

คุณรัตนชัย ม่วงงาม (เปี๊ยก)