บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    ความรู้ทั่วไปทางการเงิน
1.8K
2 นาที
15 พฤศจิกายน 2562
วิธีเก็บเงินแบบ My Style ยุค 2020
 

My Style คือการเก็บเงินในสไตล์ของตัวเราเองซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน เทคนิคการเก็บเงินที่เราเคยรู้ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบภาพรวมที่พูดถึงการเก็บเงินแบบกว้างๆ ไม่ได้โฟกัสที่ตัวของแต่ละบุคคล ซึ่ง My Style จะแตกต่าง ไอเดียนี้มาจากหนังสือน่าสนใจอย่าง"Hegarty On Creativity กฎไม่มีอยู่จริง" แต่งโดย จอห์น เฮการ์ตี ที่ www.ThaiFranchiseCenter.com เห็นว่าจะช่วยให้เราคิดวิธีเอานิสัยและความคุ้นเคยส่วนตัวของเรามาสร้างเป็นนิสัยในการออมเงินได้อย่างเป็นธรรมชาติ เรียกว่าเก็บเงินได้แบบไม่ต้องฝืนใจตัวเอง
 
1.สร้าง Passion การเงิน
 

ภาพจาก pixabay.com/

ทุกคนมี Passion ของตัวเองแตกต่างกัน แต่ถ้าเรายังไม่รู้ว่าอะไรคือ Passion ก็ต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าสิ่งไหนที่เราชอบ สิ่งไหนที่เราหลงใหลมากที่สุด เช่นถ้าเราสนใจการทำขนม ไม่ว่าตอนนี้ฝีมือในการทำขนมเราจะแย่สักแค่ไหน แต่เราก็จะฝึกฝนและพยายามทำต่อไปเพราะนี่คือสิ่งที่ใจต้องการ นั่นแหละคือ Passion
 
เราสามารถปรับ Passion นี้มาเป็นไอเดียเก็บเงินได้เริ่มจากใช้ Passion เป็นแรงผลักดันให้อยากเก็บเงิน เช่น เรียนและฝึกทำขนม ต้องใช้งบประมาณเท่าใด และถ้า Passion ในเรื่องนี้คือการอยากเปิดร้านขายขนม จะต้องมีเงินทุนเท่าใด ? การเก็บเงินไปกับสิ่งที่เรารักแบบนี้จะทำให้เราเก็บเงินได้อย่างมีความสุขแน่นอน
 
2.ใส่ระเบียบในความไร้ระเบียบ
 

ภาพจาก pixabay.com/
 
โดยทฤษฏีแล้วเราสามารถสร้างพฤติกรรมที่เป็นรูปแบบที่ชัดเจนได้จากการ "ทำซ้ำ" เช่น ตอนเด็กเราเคยฝึกขี่จักรยานส่วนใหญ่ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานแต่เราก็ยังพยายามฝึกขี่ทุกวัน ซึ่งพอเราขี่จักรยานได้สักครั้งเราก็จะสามารถขี่จักรยานได้ตลอดชีวิตทำอย่างไรเราก็ไม่ล้มอีก นั่นคือการทำงานของสมองที่ช่วงแรกจะต่อต้านให้เราทำไม่ได้แต่ถ้าเราฝืนและพยายามทำต่อสมองในส่วนจิตใต้สำนึกก็จะเริ่มเรียนรู้และสั่งให้เราทำสิ่งที่ต้องการได้แบบอัตโนมัติ
 
เกี่ยวยังไงกับการเก็บเงิน! เกี่ยวแน่ เพราะคนส่วนใหญ่มีพฤติกรรม “สุขก่อน เก็บทีหลัง” คุ้นเคยกับความไร้ระเบียบในการเก็บเงิน การใส่ความเป็นระเบียบลงไปในขั้นตอนนี้ช่วงแรกเราอาจจะไม่คุ้นเคยและทำไม่ได้เช่นเดียวกับการขี่จักรยาน แต่ขอให้ทำซ้ำๆทำไปเรื่อยๆอย่างพยายาและเราจะเริ่มทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น การเก็บเหรียญ 10 บาททุกวัน ไม่ว่าในวันนั้นเราจะได้เหรียญ 10 มากี่เหรียญ เราจะไม่ใช้เราจะเก็บทั้งหมด หรือการเก็บเงินเหรียญไม่ว่าจะเหรียญบาท เหรียญห้า เหรียญสิบ ได้มาเราเก็บหมด

ไม่ว่าจะเงินทอนอะไรเราเก็บแต่เงินเหรียญ และไปใช้เงินแบงค์แทน สิ่งเหล่านี้คือการสร้างนิสัยการออมเงินให้เป็นธรรมชาติและเมื่อเราทำจนคุ้นเคยเมื่อได้เงินเหรียญมา เราจะเก็บแบบอัตโนมัติได้ทันที สำคัญคือมีการตั้งเป้าว่าจะเก็บไปถึงเท่าไหร่ และเมื่อถึงเป้าหมายก็ให้รางวัลเล็กๆกับตัวเองในความพยายามนี้บ้าง
 
3.ขยาย Comfort Zone ให้กว้างขึ้น
 

ภาพจาก pixabay.com/

ทุกคนมีความ “กลัว” ในตัวเอง กลัวในสิ่งที่ไม่เคยทำ กลัวในสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของมนุษย์มักจะคุ้นเคยกับสิ่งที่ทำประจำเมื่อคิดจะเปลี่ยนไปทำอะไรที่แตกต่างสมองจิตใต้สำนึกจะต่อต้านให้เรารู้สึกไม่สบายใจ เพื่อบีบให้เรากลับไปทำพฤติกรรมแบบเดิมๆ เหมือนการที่เราไม่เคยขึ้นเวทีพูดต่อหน้าคนเลยสักครั้ง วันหนึ่งมีคนบังคับให้เราต้องขึ้นไปพูดบนเวที จิตใต้สำนึกเราจะทำการต่อต้านให้รู้สึกไม่สบายใจ กระอักกระอ่วน ไม่กล้าทำ ไม่กล้าพูด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เรียกว่าเป็นการ ขยาย Comfort Zone ให้กว้างขึ้น
 
นำมาสู่เทคนิคการเก็บเงินจากการ ขยาย Comfort Zone คือการขยับวิธีการเก็บเงิน จากเดิมที่เราสบายใจกับการฝากเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร ให้เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น อย่างลงทุนผ่านกองทุนรวม เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นไม่ต่างกับการกระโดดขึ้นเวทีครั้งแรก ที่เราต้องรู้สึกกลัวหลายอย่าง กลัวถูกหลอก กลัวขาดทุน กลัวไม่มีเงินใช้ แนวทางที่แนะนำคือต้องปรับความเข้าใจตัวเองว่าเป็นการลงทุนเก็บเงินเพื่ออนาคตในหลากหลายสินทรัพย์เป็นรูปแบบที่เป็นสากล และช่วยเพิ่มทางเลือกให้เราสามารถเก็บเงินในระยะยาวที่เข้าถึงเป้าหมายให้เร็วขึ้นได้

สิ่งสำคัญคือ การศึกษาให้เข้าใจชัดเจนก่อน และจำกัดเงินที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่คุ้นเคยจะช่วยให้เราสบายใจมากขึ้น และเมื่อเริ่มทำได้จากความกลัว จะกลายเป็นความกล้า และจะขยาย Comfort Zoneให้กว้างขึ้นได้อีก
   
4.มองการณ์ใกล้
 

ภาพจาก pixabay.com/

ใครๆก็สอนให้มองการไกล แต่การเก็บเงินในแบบ My Style เราบอกให้มองการณ์ใกล้เพราะสมองเรามักจะคำนวณความยากง่ายก่อนทำสิ่งใหม่ ๆ เสมอ ซึ่งถ้าเรื่องนั้นง่ายมาก ๆ สมองมองว่าไม่เห็นจะเลวร้ายอะไร และไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ทำ เราจึงทำเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น หลักคือ การตั้งเป้าหมายที่ "ใกล้และง่าย”
 
ยกตัวอย่างว่าเราตั้งใจเก็บเงิน 1 ล้านให้ได้ภายใน 10 ปี นี่คือมองการณ์ไกล และสมองก็จะกระตุ้นเราว่า เป็นเรื่องยากทำไม่ได้หรอก เราจึงควรตั้งเป้าหมายให้ใกล้เข้ามา เช่นตั้งเป้าเก็บเงินเดือนละ 6,000 บาท หรือถ้ายังยากเกินไป ก็มาตั้งเป้าเก็บเงินแบบรายวันแบบวันละ 100-200 บาท อันนี้สมองเราก็จะมองว่ามันง่ายและทำได้ก็จะไม่ต่อต้านและให้เราเก็บเงินได้ง่ายขึ้น

ซึ่งเป้าหมายระยะใกล้ก็สัมพันธ์กับระยะไกลเพราะหากเก็บในแต่ละวันได้ 200 บาทไปเรื่อยๆ พอถึง 10 ปีเราก็มีเงินใกล้เคียง 1 ล้านมากขึ้น หรือจะเลือกวิธีประหยัดเงินอย่างไรก็ได้ให้ได้ 200 บาทต่อวันเช่นเคยนั่งแท็กซี่ก็เปลี่ยนมานั่งรถเมล์ ก็ถือเป็นการออมเงินที่เป็นสไตล์ของตัวเองได้อีกทางหนึ่งด้วย
 
เป้าหมายของการออมเงินคือการสร้างระเบียบวินัยทางการเงินให้กับตัวเอง ให้เป็นคนมีแบบแผนในการใช้จ่ายอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งวิธีออมเงินก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของตัวเองและเป้าหมายของการออมเงินของแต่ละคนก็แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ควรทำเหมือนกันคือการออมเงินอย่างมีวินัยและมีคุณภาพและต้องทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอด้วย
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 

 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ www.thaifranchisecenter.com/document/
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
426
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด