เชื่อว่าหลายคนอาจเกิดความสงสัย หรือมีคำถามอยู่ในใจ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการซื้อ-ขายกิจการร้านอาหารแบรนด์ดังๆ ที่มีชื่อเสียง มีเครือข่ายมากมายหลายสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ว่าทำไม!!!!! บริษัทหรือแบรนด์ร้านอาหารเหล่านั้น ถึงต้องขายกิจการให้กับกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ทั้งๆ ที่กิจการมีกำไรอยู่แล้ว และทำไมกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ต้องซื้อกิจการแบรนด์เหล่านั้น

ภาพจาก bit.ly/2SYP7lj

 

เช่น กรณีกลุ่มสิงห์เข้าซื้อกิจการร้านซานตาเฟ่ สเต็ก มูลค่า 1,500 ล้านบาท รวมถึงกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT เข้าซื้อกิจการ “Bonchon” ร้านไก่ทอดสไตล์เกาหลีชื่อดัง ในสัดส่วน 100% คิดเป็นมูลค่า 2,000 ล้านบาท และก่อนหน้าก็มีข่าวการซื้อธุรกิจอาหารจากบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น เอ็มเค เข้าซื้อ แหลมเจริญซีฟู้ด มูลค่า 2,060 ล้านบาท

ภาพจาก bit.ly/2QZZO4g

 

หรืออย่างกรณีในต่างประเทศล่าสุด Yum Brands บริษัทแม่แฟรนไชส์ KFC, Taco Bell, Pizza Hut ในสหรัฐอริกา ก็กำลังเจรจาซื้อกิจการแฟรนไชส์ Habit Burger Grill มูลค่า 375 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แตกไลน์สู่ธุรกิจเบอร์เกอร์ 

ภาพจาก bit.ly/2QxuECe

 

สาเหตุของการซื้อ-ขายกิจการร้านอาหารแบรนด์ดังๆ เป็นอย่างไร วันนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com จะนำเสนอให้ทราบ

 

ปัจจัยของการซื้อ-ขายกิจการแฟรนไชส์น่าจะมีหลากหลายมาก เช่น ซื้อเพราะแบรนด์ติดตลาด มีชื่อเสียง ถ้าจะเปิดแข่งก็ต้องเริ่มปั้นแบรนด์ใหม่ อาจจะสู้ซื้อไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าคนขายเขาก็ต้องขายได้กำไร คุ้มทุน เพราะถ้าไม่กำไรเขาก็คงไม่ขาย

 

การซื้อขายกิจการเกิดขึ้นทั่วไปโดยเฉพาะในอเมริกา ผู้ซื้อ (นายทุน) ซื้อกิจการของผู้อื่นที่ทำไว้ดีอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มพอร์ตให้กับธุรกิจและต่อยอดธุรกิจของตนเอง เพราะการซื้อกิจการแบรนด์ดังๆ มีช่อเสียง มีรายได้ คนอื่นที่ทำไว้ดีอยู่แล้ว เปรียบเสมือนการซื้อเวลา และทรัพยากรของเขา แทนที่จะลงทุนทำใหม่ทั้งหมดจากศูนย์ ซื้อต่อมันไปเร็วกว่า

 

หรือแม้ว่าแบรนด์นั้นๆ กิจการนั้นๆ ที่เจ้าของทำไว้ดีแล้ว ไม่ได้แปลว่าจะต้องมีกำไรเสมอไป แต่ทำไว้ดีอยู่แล้วในแง่ของระบบ, เครือข่าย, แบรนด์, ฐานลูกค้า ซึ่งในต่างประเทศมีการซื้อกิจการที่ขาดทุนกันมากมาย เพราะเขาต้องการปัจจัยอื่นๆ เช่น โนว์ฮาว ทรัพยากรต่างๆ ความชำนาญด้านต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ

 

ในขณะที่ ผู้ขาย เจ้าของแบรนด์ (เจ้าของกิจการที่ถูกซื้อ) จะได้รับเงินทุนก้อนแน่นอน ทั้งนี้ยังแบ่งเป็นอีกหลายกรณี อาทิ ได้รับเงินทุน และยังคงบริหารกิจการต่อไป หรือรับเงินจากการซื้อขายแล้วออกจากกิจการนั้นไป เช่น คุณตัน เป็นต้น  

ภาพจาก bit.ly/2QVyiF9

 

ยกตัวอย่างในต่างประเทศอีกกรณี ก่อนที่ Coca-Cola จะซื้อกิจการกาแฟ ทาง Costa Coffee ได้ตั้งเป้าที่จะมีสาขาในประเทศจีนในปี 2022 ให้ได้อย่างน้อย 1,200 สาขา และในปี 2017 บริษัทได้ซื้อกิจการในตอนใต้ของประเทศจีนจากหุ้นส่วนกลับมาเป็นของบริษัทด้วยมูลค่า 45 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าที่จะขยายสาขาในเมืองหลักๆ ของจีนด้วย

 

เป้าหมายการซื้อกิจการแบรนด์กาแฟของ Coca-Cola อาจไม่ใช่การที่อยากได้กิจการที่เป็นร้านกาแฟด้วยซ้ำ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ ธุรกิจกาแฟที่เป็นเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นโรงคั่วกาแฟ สูตรกาแฟต่างๆ ฯลฯ 

 

ซึ่งสามารถทำให้บริษัทฯ สามารถจัดทำสินค้าใหม่ๆ ในชื่อ Costa Coffee ได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มพร้อมดื่ม เช่น กาแฟพร้อมดื่ม ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยเสริม Portfolio ของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหาก Coca-Cola เริ่มต้นในธุรกิจนี้ใหม่ กว่าที่จะสำเร็จอาจใช้เวลานานกว่า หรืออาจรวมไปถึงเสียเงินมากกว่านี้ด้วยซ้ำ

ภาพจาก bit.ly/39RmKey

 

ได้เห็นกันแล้วว่า ทำไมเทรนด์การซื้อ-ขายกิจการแบรนด์ดังๆ จึงมาแรงอย่างมากในยุคนี้ เพราะคนขายได้กำไร คนซื้อไม่ต้องเสียเวลาสร้างใหม่ และปี 2563 ต้องจังตามองว่าแบรนด์ไหนจะเป็นฝ่ายขาย และกลุ่มทุนไหนจะเป็นฝ่ายเข้าซื้อ

 

คุณผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน

 

 

นักเขียน

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)