บทความทั้งหมด    บทความแฟรนไชส์    กฎหมายและข้อบังคับ    สัญญาแฟรนไชส์
4.1K
3 นาที
22 ธันวาคม 2564
ประเทศไทย มีกฎหมายแฟรนไชส์ หรือไม่?
 

ภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนในระบบแฟรนไชส์ โดยในปี 2564 มีแฟรนไชส์ของคนไทยจำนวน 597 แบรนด์ มูลค่าการตลาดเฉลี่ยปีละ 300,000 ล้านบาท และมีผู้ที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ในช่วงที่ผ่านมารวมกว่า 42,000 รายทั่วประเทศ มองในอีกมุมหนึ่งธุรกิจแฟรนไชส์กำลังเติบโตมาก

แต่ www.ThaiFranchiseCenter.com ต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่าตอนนี้ในประเทศไทยเรายังไม่มีกฏหมายแฟรนไชส์โดยตรง ซึ่งการจะทำแฟรนไชส์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้นั้นเรายังต้องยึดหลักกฏหมายข้างเคียงที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นกรอบปฏิบัติร่วมกัน ด้วยเหตุนี้ใครที่สนใจอยากสร้างธุรกิจแฟรนไชส์จึงต้องเรียนรู้กฏหมายเหล่านี้ให้เข้าใจชัดเจนด้วย
 
ทำไมประเทศไทยยังไม่มีกฏหมายแฟรนไชส์?
 

แม้ภาพรวมของธุรกิจแฟรนไชส์จะเติบโตมาก แต่การจะร่างกฏหมายแฟรนไชส์โดยเฉพาะก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันอีกมาก เพราะเราไม่สามารถไปอ้างอิงตัวอย่างกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย , อินโดนีเซีย หรือเวียดนามที่ 3 ประเทศนี้เขามีกฏหมายแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการ เหตุผลที่ไม่อาจอ้างอิงกฎหมายจากประเทศเหล่านี้มาใช้ได้เพราะความต่างในเรื่องวัฒนธรรม วิถีการดำเนินธุรกิจที่แตกต่าง

รวมถึงบริบททางกฎหมายด้านอื่นๆซึ่งแต่ละประเทศก็มีรูปแบบเฉพาะของตัวเอง แต่ถึงกระนั้นเชื่อว่ากฏหมายแฟรนไชส์ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องการ เพราะปัจจุบันฐานการขยายตัวของธุรกิจแฟรนไชส์ในบ้านเราเติบโตต่อเนื่องขึ้นทุกปี

ที่สำคัญแฟรนไชส์ไทยกำลังก้าวไกลไปขยายเครือข่ายถึงในต่างประเทศ ถ้าไม่มีกฎหมายในประเทศไว้รองรับ ความน่าเชื่อถือตรงนี้จะมีผลต่ออนาคตในตลาดต่างประเทศอย่างมาก ที่ผ่านมาผู้ประกอบการแฟรนไชส์ส่วนใหญ่ที่ตั้งใจดี อยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจนี้ เพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจทั้งระบบให้เติบโตอย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง แต่อย่าลืมว่า ทุกธุรกิจมีทั้งคนดีและคนไม่ดี

บางคนจ้องจะเอาเปรียบ เอาแต่ได้และมักจะแอบแฝงปะปนเข้ามาด้วยเสมอ และถ้าพวกนี้มีมากในธุรกิจไหน โอกาสที่ธุรกิจนั้นๆ จะเสียหายก็มีมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการร่างกฏหมายแฟรนไชส์จึงต้องคิดให้รอบคอบรอบด้านเพื่อประโยชน์ของคนในวงการแฟรนไชส์อย่างสูงสุด
 
มีกฎหมายข้างเคียงอะไรบ้างที่คนทำธุรกิจแฟรนไชส์ ต้องรู้!
 

ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในเรื่องสัญญาแฟรนไชส์ ซึ่งถือเป็นสัญญาประเภทหนึ่งดังนั้นกรอบในการปฏิบัติจึงยังต้องยึดถือบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายอื่นดังต่อไปนี้

1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่นำมาใช้บังคับกับสัญญาแฟรนไชส์ ได้แก่ หมวดว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา โดยนำมาใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับการเกิดสัญญา การแสดงเจตนาของคู่สัญญา การตีความสัญญา ผลของสัญญา การบอกเลิกสัญญาและการผิดสัญญา
 
2.พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540
 

เมื่อพิจารณาคู่สัญญาในสัญญา แฟรนไชส์ จะเห็นได้ว่า คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะมีฐานะไม่เท่าเทียมกัน เนื่องจากแฟรนไชส์ซี จะมีอำนาจในการเจรจาต่อรองน้อยกว่าแฟรนไชส์ซอร์ นอกจากนี้สัญญาแฟรนไชส์ยังถือเป็นสัญญามาตรฐานและสัญญาสำเร็จรูปประเภทหนึ่งเพราะเป็นสัญญาที่แฟรนไชส์ซอร์ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจเหนือกว่า เป็นผู้กำหนดเนื้อหาสาระของสัญญา หรือข้อสัญญาที่เป็นสาระสำคัญไว้เป็นการล่วงหน้า

โดยที่แฟรนไชส์ซีซึ่งเป็นผู้ที่จะเข้ามาทำสัญญาสามารถแสดงเจตนาเข้าทำสัญญาโดยไม่ต้องมีการเจรจาต่อรอง ซึ่งหากว่าข้อสัญญาดังกล่าว แฟรนไชส์ซอร์ได้เปรียบแฟรนไชส์ซีเกินสมควรข้อสัญญาดังกล่าวถือเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ในกรณีเช่นนี้กฎหมายกำหนดให้สัญญามีผลใช้บังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีเท่านั้น
 
3.กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา


สัญญาแฟรนไชส์ มีความเกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าหรือบริการ และสิทธิบัตร เนื่องจากหากแฟรนไชส์ซอร์ประสงค์ที่จะให้แฟรนไชส์ซี สามารถใช้เครื่องหมายการค้าหรือบริการ หรือสิทธิบัตรของตนก็จะต้องมีการจดทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าหรือบริการ หรือสิทธิบัตรกับทางราชการด้วย

ส่วนที่แตกต่างกันระหว่างสัญญาแฟรนไชส์และสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา คือ แฟรนไชส์ซีจะต้องจ่ายค่าตอบแทนในการใช้สิทธิและเข้าร่วมประกอบธุรกิจ ส่วนสัญญาอนุญาตให้ใช้ในทรัพย์สินทางปัญญา นั้นผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ อาจไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตกลงของคู่สัญญา
 
4.พระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545
 

การประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ เกี่ยวข้องกับกฎหมายความลับทางการค้า ในเรื่องข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ในการประกอบธุรกิจเช่น สูตรอาหารและเครื่องดื่ม คู่มือการปฏิบัติงาน และรายชื่อลูกค้าอาจถือได้ว่าเป็นความลับทางการค้าของแฟรนไชส์ซอร์ ที่จำเป็นจะต้องได้รับความคุ้มครอง

โดยแฟรนไชส์ซีจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลความลับหรือนำข้อมูลซึ่งเป็นความลับนั้นไปใช้ในลักษณะที่เป็นการแข่งขันกับแฟรนไชส์ซอร์ ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิของแฟรนไชส์ซอร์ในเรื่องดังกล่าวแฟรนไชส์ซอร์ย่อมสามารถที่จะฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนและขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการกระทำเช่นว่านั้นได้

5. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
 

ธุรกิจแฟรนไชส์ขายสินค้าและธุรกิจแฟรนไชส์ให้บริการ ย่อมต้องมีลูกค้าหรือผู้บริโภค เป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ ลูกค้าหรือผู้บริโภคจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการโฆษณาสินค้าที่อาจเกินจริง การปิดฉลากสินค้า หรือการกำหนดให้ธุรกิจใดเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา เป็นต้น
 
6.พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542
 

การประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ ย่อมต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า เช่นกัน โดยทั้งแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซี จะถูกควบคุมมิให้มีการใช้วิธีการที่กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า ถือว่าเป็นการผูกขาด หรือการกระทำที่เป็นการใช้อำนาจเหนือตลาด เว้นแต่มีความจำเป็นและมีเหตุผลสมควร โดยจะต้องขออนุญาตต่อคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าเสียก่อน
 
7.กฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจนั้นโดยตรง
 

การขายสินค้าและการให้บริการในธุรกิจแฟรนไชส์ นอกจากจะต้องพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังจำเป็นต้องพิจารณาถึงกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจนั้นโดยตรง เช่นพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติยาพ.ศ. 2535 เป็นต้น
 
อย่างไรก็ดีแม้ไทยจะยังไม่มีกฎหมายแฟรนไชส์บังคับใช้ แต่สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ได้มีไกด์ไลน์แฟรนไชส์เพื่อใช้กำหนดพฤติกรรมที่เป็นข้อห้ามทำไว้ 6 ข้อได้แก่
  1. การกำหนดเงื่อนไขที่เป็นการจำกัดสิทธิของแฟรนไชส์ซี โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เช่น กำหนดให้แฟรนไชส์ซีต้องซื้อสินค้าหรือบริการอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าแฟรนไชส์, กำหนดให้ต้องซื้อสินค้าในปริมาณสูงกว่าเกินกว่าความต้องการ เป็นต้น
  2. การกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ต้องปฏิบัติภายหลังการลงนามในสัญญาร่วมกันแล้ว เช่น กำหนดให้แฟรนไชส์ซีซื้อสินค้าหรือบริการอื่นนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในสัญญา
  3. ห้ามแฟรนไชส์ซีซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ผลิต จำหน่าย รายอื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร
  4. ห้ามแฟรนไชส์ซีขายลดราคาสินค้าเน่าเสียง่าย (Perishable Goods)
  5. การกำหนดเงื่อนไขที่แตกต่างกันระหว่างแฟรนไชส์ซีโดยไม่มีเหตุผล และนำไปสู่การเลือกปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
  6.  การกำหนดเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสมอื่น ๆ นอกเหนือตามมาตรฐานสัญญา
โดยแนวทางปฏิบัติในธุรกิจแฟรนไชส์ฉบับนี้ ได้กำหนดพฤติกรรมที่เป็นข้อห้ามที่อาจฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ใดฝ่าฝืน “มีโทษปรับทางปกครองไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้ในปีที่กระทำผิด”
 
ติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ https://www.thaifranchisecenter.com/document/
 
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
 
ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/3pOoxtL , https://bit.ly/3lYUJK0 , https://bit.ly/3GysZDC 
 
บทความแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
6 แฟรนไชส์บริการ! สร้างรายได้ 24 ชม.
904
ลงทุนตามเทรนด์ฮิต! 7 แฟรนไชส์ไอเดียเงินล้าน ปี ..
632
ตั้งแถวใหม่ 10 แฟรนไชส์ น่าลงทุน ครึ่งปีหลัง 68
570
แฟรนไชส์ชาจีน Good Me 古茗 ดังจนถูกก๊อป 600 สาขา
522
“ปิ้งย่าง” ธุรกิจหมื่นล้าน! มีแฟรนไชส์ไหน น่าลง..
506
Shake Shack จากรถเข็นขายฮอทดอกในนิวยอร์ก สู่แฟรน..
485
บทความแฟรนไชส์มาใหม่
บทความอื่นในหมวด