บทความทั้งหมด    บทความแฟรนไชส์    การเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์    ความรู้ทั่วไประบบแฟรนไชส์
271
7 นาที
9 ธันวาคม 2568
สัญญาณเตือน เลือกซื้อแฟรนไชส์ คนขายไม่บอก คนซื้อไม่รู้
 

ใกล้จะสิ้นปี 2568 เชื่อว่ามีหลายคนกำลังมองหาธุรกิจที่จะเริ่มต้นทำในช่วงต้นปี 2569 เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้เพิ่ม หนึ่งในธุรกิจที่หลายๆ คน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ นั่นก็คือ ธุรกิจแฟรนไชส์ 
 
ข้อดีของธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นการซื้อความสำเร็จของธุรกิจที่ผ่านการลองผิดลองถูกจนหลายๆ คนทำสำเร็จมาแล้ว ผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ต้องเริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์ เพียงแต่ต้องมีการศึกษาข้อมูลธุรกิจให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์ 
 
แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่า จะหาธุรกิจแฟรนไชส์แบบไหนที่จะเหมาะสมกับเรา ซื้อมาแล้วคืนทุนได้ บริหารกิจการแล้วประสบความสำเร็จ และสร้างรายได้ให้กับเราได้อย่างมั่นคง 
 
บทความนี้ จะมาแชร์เรื่องที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์ ปี 2569 เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก และเจ็บตัว
 
1.ทำความเข้าใจตัวเองให้ชัดเจน (Self-Assessment)
 

ก่อนเลือกแฟรนไชส์ ต้องรู้จักตัวเองก่อน เหมือนการออกเดท คุณจะเลือกคนที่เข้ากับคุณได้ยังไง ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการแบบไหน หลายคนพลาดตั้งแต่ก้าวแรก เพราะ “เลือกจากแบรนด์ที่ดังที่สุด” หรือ “คิดว่าแฟรนไชส์ เป็นธุรกิจที่รวยง่าย” แต่ความจริง คือ ความสำเร็จของแฟรนไชส์ ไม่ได้เริ่มที่แบรนด์ แต่เริ่มที่ตัวคุณ
 
นี่คือคำถามสำคัญที่คุณต้องถามตัวเองก่อนจะลงทุนจริง
 
1.คุณพร้อมทำงานตามระบบหรือไม่
 
คุณต้องทำตามทุกขั้นตอนที่แฟรนไชส์ซอร์วางไว้ เพื่อให้คุณภาพมาตรฐานเหมือนกันกับสาขาต้นแบบ
 
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบคิดสูตรใหม่ ชอบปรับเมนูเอง ชอบตกแต่งร้านตามสไตล์ตัวเอง หรือไม่ชอบให้ใครมากำกับ คุณอาจรู้สึก “อึดอัด” มากกว่าที่จะสบายใจ
 
ยกตัวอย่าง...คุณเปิดร้านกาแฟแฟรนไชส์ที่มีสูตรมาตรฐาน แต่คุณเป็นสายครีเอต อยากทำเครื่องดื่มใหม่ๆ 
 
วันหนึ่งคุณลองเพิ่มเมนู Matcha Dirty เพราะเห็นว่าคนกำลังนิยม ผลคือ ทางแบรนด์เรียกเตือนทันที เพราะคุณทำผิดระบบ ทำให้คุณเองก็หงุดหงิด รู้สึกถูกจำกัดความคิด สุดท้ายกลายเป็นความเครียดมากกว่าความสนุก

ถ้าคุณชอบความอิสระ ให้เปิดร้านเองอาจเหมาะสมกว่า

ถ้าคุณชอบทำตามระบบ การซื้อแฟรนไชส์คือคำตอบที่ดีที่สุด

2. คุณทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดีแค่ไหน
 
ในระบบแฟรนไชส์ คุณไม่ได้ทำงานคนเดียว คุณต้องสื่อสารกับทั้งพนักงานของคุณ ทีมซัพพอร์ตของแฟรนไชส์ซอร์ ผู้จัดการพื้นที่ ทีมการตลาด ทีมตรวจร้าน และทุกทีมต้องทำงานสัมพันธ์กัน
 
ตัวอย่างสถานการณ์จริง
 
คุณเป็นคนเก่งมาก ทำเองได้ทุกอย่าง แต่ไม่ถนัดสื่อสาร เวลามีปัญหาเครื่องเสีย คุณไม่แจ้งทันที พนักงานก็ไม่กล้าตัดสินใจ กลายเป็นลูกค้ารอ 15 นาที จนเดินออก สุดท้ายยอดขายหาย แต่คุณไม่รู้ว่ามาจากอะไร เพราะ “ไม่คุยกับใคร”แฟรนไชส์ซอร์ต้องการเจ้าของร้านแฟรนไชส์ที่สื่อสารเป็น ไม่ใช่ทำงานคนเดียวเก่ง

3. คุณมีประสบการณ์กับธุรกิจประเภทที่สนใจหรือไม่
 

ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ลึกก็เริ่มได้ แต่คุณควรเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าบ้าง เพื่อเลือกแฟรนไชส์ให้ตรงตัว

ตัวอย่างง่ายๆ 
  • รักการกิน ชอบลองอาหาร เลือกฟรนไชส์อาหาร
  • ชอบเด็ก เลือกสถาบันการศึกษา
  • ไม่ชอบบริหารคน เลือกร้านอัตโนมัติ เช่น ตู้กดน้ำ ร้านซักผ้าหยอดเหรียญ
  • มีทักษะบริการ เลือกร้านสปา ร้านความงาม
ตัวอย่างจริง

คุณไม่เคยบริหารพนักงานมาก่อน แต่ซื้อแฟรนไชส์อาหารที่ต้องใช้พนักงาน 3–5 คน ผลคือ…แค่จัดตารางเวร + แก้ปัญหาพนักงานทะเลาะกัน ก็ “เหนื่อยจนหมดไฟ”
 
การเลือกแฟรนไชส์ให้เข้ากับนิสัยและประสบการณ์ ช่วยลดปัญหา 50% ตั้งแต่ยังไม่เปิดร้าน

4. คุณรับความเสี่ยงได้ระดับไหน

แฟรนไชส์ไม่ใช่ประกันชีวิต ไม่มีใครบอกได้ 100% ว่าคุณจะรวยหรือคุ้มทุน คุณต้องรับให้ได้ว่า…
 
ยอดขายอาจไม่เป็นตามที่คิด ลูกค้าน้อยช่วงแรก ต้องมีเงินสำรอง 3–6 เดือน อาจขาดทุนบางเดือน และ “เงินลงทุนอาจไม่ได้คืนทั้งหมด” ถ้าคุณคาดหวังแบบฝันสวยๆ พอเจอเดือนที่ขายไม่ดี อาจเครียดมากจนไม่อยากทำต่อ
 
ยกตัวอย่าง...บางคนลงทุนเปิดร้านกาแฟ 500,000 บาท เดือนแรกขายดีเพราะคนแห่ลอง แต่เดือนที่สองยอดตกครึ่งหนึ่ง
 
เขาคิดว่า “แบรนด์ไม่ดี” ทั้งที่เป็นเรื่องปกติของธุรกิจ สุดท้ายท้อจนอยากขายร้าน
 
ถ้าเข้าใจความเสี่ยง เท่ากับว่าคุณจะพร้อมรับมือ
 
ถ้าไม่เข้าใจ เท่ากับว่าความคาดหวังพังคุณก่อนธุรกิจจะพัง
 
5. คุณพร้อมขอความช่วยเหลือหรือไม่
 

แฟรนไชส์ซอร์ต้องการให้คุณ “บอกปัญหาเร็วที่สุด” เพราะยิ่งรู้เร็ว ทำให้แฟรนไชส์ซอร์ช่วยได้เร็ว บางคนกลัวโดนตำหนิ ไม่กล้าถาม สุดท้ายปัญหาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่
 
ยกตัวอย่าง พนักงานทำผิดสูตรเรื่อยๆ คุณเห็นแล้ว แต่ไม่กล้าบอกทีมฝึกอบรม สุดท้ายลูกค้าบ่นเรื่องรสชาติไม่เหมือนเดิม กลายเป็นเสียชื่อทั้งร้าน พอแจ้งแบรนด์ตอนหลัง ทุกอย่างก็ยากกว่าเดิม
 
จำไว้ว่า การสื่อสารปัญหา เป็นความรับผิดชอบ ไม่ใช่ความผิด หลังจากประเมินตัวเองแล้ว ให้คิดต่อเรื่อง “ความตั้งใจในระยะยาว” เพราะเป้าหมายของคุณ อยู่ที่ประเภทแฟรนไชส์ที่ควรเลือก

6. คุณลงทุนเพื่อเป้าหมายอะไร

คำตอบแต่ละอย่าง จะนำคุณไปพบกับธุรกิจแฟรนไชส์ ที่จะเป็นเป้าหมายของตัวคุณเอง  

6.1.อยากรายได้เสริม 

เลือกแฟรนไชส์ที่ใช้เวลาน้อย เช่น เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ตู้น้ำ ร้านอัตโนมัติ หรือแฟรนไชส์ที่มีระบบหลังบ้านดีๆ

6.2. อยากออกจากงานประจำ 

ต้องเลือกธุรกิจที่คุณพร้อมเข้าไปบริหารเต็มตัว เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเครื่องดื่ม ร้านบริการ

6.3. อยากขยายหลายสาขา 

ต้องเลือกแฟรนไชส์ที่มีระบบเข้มแข็ง มีทีมซัพพอร์ตที่ดี เพราะคุณต้องบริหาร “เหมือนผู้จัดการ” มากกว่าทำงานหน้าร้านเอง

6.4. อยากมีธุรกิจให้คนอื่นบริหาร 

ต้องเลือกแฟรนไชส์ที่ระบบนิ่ง ขั้นตอนไม่ซับซ้อน เพื่อให้พนักงานและผู้จัดการทำงานแทนได้ง่าย

7. คุณมีงบประมาณเท่าไร


อย่าดูแค่ “ค่าซื้อแฟรนไชส์” แต่ต้องคิดรวมทั้งหมด เช่น ค่าตกแต่งร้าน ค่าวัตถุดิบแรกเข้า ค่าพนักงาน เงินหมุนเวียน 3–6 เดือน ค่าการตลาด ค่าเช่า ค่าอุปกรณ์

ตัวอย่าง...
 
ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ราคา 150,000 ไม่ได้แปลว่าใช้เงิน 150,000 บาทเท่านั้น

ยังรวมค่าออกแบบ ค่าก่อสร้าง ค่าอุปกรณ์ วัตถุดิบ รวมทุกอย่างอาจแตะ 350,000–450,000 บาท 

8. คุณมีเวลามากแค่ไหนต่อวัน

เวลา คือ ปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อแฟรนไชส์
 
เช่น ต้องเข้างานเช้าตลอด ควรเปิดร้านอาหารในช่วงเลิกงาน 
  • มีเวลาประมาณ 4–6 ชม./วัน ควรเปิดร้านเครื่องดื่ม
  • มีเวลาดูแลแบบห่างๆ ได้ ให้ทำตู้หยอดเหรียญ / ร้านซักผ้า
  • และถ้าไม่ค่อยมีเวลาเลย ก็อย่าเพิ่งเริ่มธุรกิจใดๆ 
9. คุณตั้งใจทำธุรกิจนานแค่ไหน
 

ธุรกิจแฟรนไชส์ส่วนใหญ่จะมีสัญญาแฟรนไชส์ 3–6 ปีขึ้นไป ถ้าคุณคิดจะทำแค่ปีเดียว รับรองไม่คุ้มแน่นอน
 
คุณควรคิดว่า จะอยู่รายยาวหรือไม่ อยากขยายสาขาเพิ่มไหม
 
ถ้าวันหนึ่งอยากออกจากระบบ จะขายต่อได้ไหม
 
แผนการเงินในอนาคตคืออะไร
 
ธุรกิจแฟรนไชส์ เปรียบเสมือนเป็นการเดินทางยาวๆ ถ้าคุณวางเป้าหมายตั้งแต่ต้น การตัดสินใจจะง่ายขึ้นมาก
 

2. วิเคราะห์ตลาดอย่างเจาะลึก (Market Analysis)
 
เพราะตลาดคือคนจ่ายเงินให้คุณ ไม่ใช่ความชอบส่วนตัว หลายคนเริ่มต้นจาก “ฉันชอบอะไร” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ถ้าอยากทำธุรกิจให้รอด ต้องถามต่อว่าลูกค้าในพื้นที่ พร้อมที่จะจ่ายให้ธุรกิจแบบที่คุณชอบหรือเปล่า
 
การวิเคราะห์ตลาดจึงเหมือนเป็นการเช็ค “สัญญาณชีพ” ของธุรกิจ
 
ถ้าตลาดมีความต้องการชัดเจน ก็มีโอกาสรอดสูง
 
ถ้าตลาดไม่ต้องการ ต่อให้แบรนด์ดีแค่ไหนก็ไม่รอด
 
เรามาไล่ทีละประเด็นแบบเข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ
 
1. วิเคราะห์ทำเลเป็นอันดับแรก
 

หลายคนเริ่มจากเลือกแฟรนไชส์แล้วค่อยหาทำเล แต่วิธีที่ดีที่สุดคือ เริ่มจากทำเลก่อน แล้วค่อยเลือกธุรกิจที่เหมาะกับพื้นที่นั้น
 
1.ทำเลที่คุณรู้จักดีที่สุดคือทำเลที่ปลอดภัยที่สุด เช่น บ้านเกิด พื้นที่แถวที่ทำงานเก่า หรือย่านที่คุณเดินผ่านอยู่เป็นประจำ เพราะคุณอินไซด์มากกว่าใคร รู้ว่า
  • คนแถวนั้นเป็นคนทำงาน นักศึกษา หรือครอบครัว
  • เขาใช้เงินประมาณไหน
  • ซื้อของช่วงเวลาใด
  • ไลฟ์สไตล์เขาเป็นแบบไหน
ตัวอย่าง คุณอยากเปิดร้านชานมไข่มุก เพราะชอบมาก แต่ทำเลที่คุณได้อยู่หน้าโรงงานอุตสาหกรรม ลองนึกว่าว่าพนักงานโรงงานส่วนใหญ่เน้นของอิ่มท้อง คุ้มค่า แต่การเปิดขายชาไข่มุกแก้วละ 70 บาทอาจไม่ตอบโจทย์เลย จึงมีโอกาสเจ๊งง่าย แม้แบรนด์จะดังและอร่อยก็ตาม
 
แต่ถ้าคุณเปลี่ยนมาเปิดร้านกาแฟราคาจับต้องได้ ร้านอาหารจานด่วน หรือร้านข้าวกล่อง จะเข้ากับพื้นที่มากกว่า
 
2. สำรวจความต้องการของลูกค้า
 
รู้ว่าลูกค้าคิดอะไร จะทำให้รู้ว่าเขาจะซื้ออะไร
 
การสำรวจตลาดไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก คุณสามารถใช้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กัน
 
2.1 ใช้เครื่องมือออนไลน์ เช่น Google Trends
 
ดูว่าเทรนด์ของธุรกิจที่สนใจกำลัง “ขึ้น คงที่ หรือกำลังลง” เช่น เทรนด์ร้านกาแฟเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เทรนด์ตู้หยอดเหรียญกำลังมาแรง หรือเทรนด์ชานมในบางพื้นที่เริ่มแผ่วลง

2.2 ใช้ Social Listening
 
ดูคอมเมนต์ กลุ่มเฟซบุ๊ก TikTok ว่าคนพูดถึงอะไรในพื้นที่ เช่น คนบ่นว่าหาอาหารเช้าใกล้บ้านไม่ได้ คนหาที่ซักผ้ามากขึ้น หรือ คนกำลังตามหาคาเฟ่สำหรับนั่งทำงาน นี่คือ โอกาสทางธุรกิจจริง

2.2 ลงพื้นที่ถามคนจริงๆ
 
เพียงแค่คุณเดินสำรวจ 1–2 ชั่วโมง ก็ได้ข้อมูลมากกว่าที่คิด ถามง่ายๆ เช่น
 
“แถวนี้หาอะไรกินยากที่สุดคะ/ครับ”
“ร้านนี้คนชอบซื้ออะไร”
“ช่วงไหนคนเยอะที่สุด”
 
คำตอบที่ได้คือ Insight สำคัญที่ได้มากกว่าถามแฟรนไชส์ซอร์เสียอีก
 
ยกตัวอย่าง...สมมติว่าคุณสนใจเปิดร้านซักผ้าหยอดเหรียญ แต่ลงพื้นที่แล้วพบว่า ทุกคอนโดมีเครื่องซักผ้าอยู่แล้ว แถวนั้นเป็นบ้านเดี่ยว ไม่ใช่คอนโด คนส่วนใหญ่มีเครื่องซักผ้าเอง
 
สรุป ถ้าคุณไปเปิดร้านซักผ้า มีโอกาสรอดน้อยมาก นี่คือการสำรวจลูกค้าที่ช่วยให้คุณไม่เสียเงินโดยไม่จำเป็น
 
3. ประเมินการแข่งขันในตลาด
 

ธุรกิจจะทำกำไรได้มากหรือน้อย อยู่ที่การแข่งขันในตลาด สิ่งที่ต้องดู เช่น
 
3.1 มีคู่แข่งใหญ่กี่ราย?
 
ถ้ามีแบรนด์ดังอยู่แล้ว 3–4 แบรนด์ คุณจะต้องสู้กับเขาทั้งราคา คุณภาพ และการตลาด ทำให้การแข่งขันยากขึ้น
 
3.2 คู่แข่งแข็งแรงแค่ไหน?
 
ถ้าคู่แข่งขันมีความแข็งแรงมาก จะมีลูกค้าประจำเยอะ คุณภาพนิ่ง ทำเลดี 
 
แต่ถ้าคู่แข่งอ่อน จะบริการช้า ลูกค้าน้อย คุณภาพไม่สม่ำเสมอ
 
3.3 ตลาดเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่หรือไม่?
 
บางธุรกิจมี “เจ้าตลาด” ที่ครองพื้นที่แทบทั้งหมด ถ้าลงไปเจอเขาโดยตรง คุณต้องเหนื่อยหนักมาก
 
3.4 ราคาแข่งขันกันจนกำไรหดไหม?
 
ถ้าราคาถูกมาก คุณต้องขายปริมาณเยอะเพื่อจะได้คุ้มทุน ธุรกิจแบบนี้เหมาะกับคนที่มีทำเลคนเดินเยอะจริงๆ
 
ยกตัวอย่าง...คุณอยากเปิดร้านกาแฟแฟรนไชส์ชื่อดัง แต่ทำเลที่คุณได้มีร้านกาแฟอยู่แล้ว 5 ร้านในรัศมี 200 เมตร แม้กาแฟจะเป็นตลาดใหญ่ แต่ในพื้นที่เล็กๆ ถ้าคู่แข่งเยอะเกิน ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่จะแย่งลูกค้ากันเอง
 
4. ติดตามเทรนด์และการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ
 
พฤติกรรมผู้บริโภคทุกวันนี้เปลี่ยนเร็วมาก การเลือกแฟรนไชส์ที่ไม่ยืดหยุ่นหรือไม่ตามเทรนด์ จะทำให้ธุรกิจคุณตกขบวนได้ง่าย
 
ตัวอย่างของเทรนด์ที่เปลี่ยนไปแบบเห็นได้ชัด
  • คนกินที่ร้านน้อยลง ทำให้บริการเดลิเวอรีครองตลาด
  • คนจ่ายเงินด้วยมือถือมากขึ้น ทำให้ร้านต้องเปิดรับ e-Payment
  • คนทำงานที่บ้านมากขึ้น ทำให้ร้านกาแฟต้องมีปลั๊ก/อินเทอร์เน็ตแรง
  • คนสนใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้เทรนด์อาหารคลีน / เครื่องดื่มน้ำตาลต่ำมีการเติบโต
ตัวอย่างแฟรนไชส์ที่ “ปรับตัวทัน”
 
ร้านอาหารที่เพิ่มระบบ Cloud Kitchen เพื่อรับออเดอร์ออนไลน์ ผลคือแม้คนไม่เข้าร้าน แต่ยอดขายเดลิเวอรีพุ่งสูง

ตัวอย่างแฟรนไชส์ที่ “ปรับตัวไม่ทัน”
 
ร้านที่พึ่งพาลูกค้า Walk-in เพียงอย่างเดียว ไม่มีระบบส่ง ไม่มีโปรออนไลน์ สุดท้ายยอดขายลดลงต่อเนื่อง 
 

3. ตรวจสอบแฟรนไชส์ซอร์แบบละเอียดก่อนเซ็นสัญญา
 

ขั้นตอนนี้สำคัญที่สุด เพราะแฟรนไชส์ซอร์ไม่ใช่แค่เป็น “ผู้ขายสิทธิ์ธุรกิจ” แต่คือ “พาร์ตเนอร์ระยะยาว” ที่คุณจะต้องเดินไปด้วยกันหลายปี ถ้าเขาไม่มีความเป็นมืออาชีพ พาคุณไปไม่ถึงเป้าหมาย หรือทิ้งคุณกลางทาง ธุรกิจของคุณก็สะเทือนทันที
 
ลองนึกภาพตามแบบง่ายๆ คุณคือคนขับรถ แฟรนไชส์ซอร์คือคนวางแผนเส้นทาง ส่วนแบรนด์คือรถ
 
แม้ว่าคุณจะขับรถเก่งแค่ไหน แต่ถ้าเส้นทางที่เขาวางไม่ดี รถเสียกลางทาง หรือมีปัญหาตลอด คุณก็จะเหนื่อยมากกว่าเดิมแน่นอน เพราะฉะนั้น ก่อนเซ็นสัญญา ต้องตรวจสอบ 6 เรื่องหลักๆ ต่อไปนี้
 
1.ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของแบรนด์
 
ลองคิดดูว่า ถ้าคุณเปิดร้านกาแฟแฟรนไชส์ชื่อดัง คนเดินผ่านก็รู้จักอยู่แล้ว ทำให้ลูกค้ากล้าเข้าร้านง่ายขึ้น ต่างจากแบรนด์ใหม่ที่ต้องใช้เงินทำตลาดเพิ่ม สิ่งที่คุณควรดู เช่น
 
จำนวนปีที่เปิดทำการ
 
ถ้าแบรนด์เปิดมา 10 ปี กับแบรนด์เปิดมา 6 เดือน ความเสี่ยงจะต่างกันมาก เพราะการยืนระยะได้นานแปลว่าเขาผ่านช่วงเลวร้ายและเจอปัญหามากมายมาแล้ว เช่น คู่แข่งเยอะ ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี หรือพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง
 
ยกตัวอย่าง...
 
แบรนด์ A เปิดมา 12 ปี มีทั้งช่วงเฟื่องฟูและช่วงตก แต่ยังอยู่ได้ เพราะมีความน่าเชื่อถือ
 
แบรนด์ B เปิดมาแค่ 8 เดือน อยู่ได้เพราะลดราคาแรง มีความเสี่ยงที่ลูกค้าอาจหายไปทันทีที่หยุดโปร
 
จำนวนสาขา
 
จำนวนสาขามาก ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป แต่ถ้าสาขายังเปิดอยู่ มีปิดบ้าง แต่ก็เปิดใหม่เรื่อยๆ แปลว่าธุรกิจมีความเสถียร
 
ความนิยมบนโซเชียล
 
ดูได้จากรีวิว ความคิดเห็น และกระแสพูดถึง ถ้าเห็นคอมเมนต์ด้านลบเยอะ ไม่ว่าจะรสชาติเปลี่ยน คุณภาพตก คนบ่นเรื่องบริการ ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ดีของแบรนด์แฟรนไชส์
 
รีวิวจากลูกค้าจริง
 
บางทีข้อมูลจากแบรนด์จะสวยงาม แต่มุมมองจากลูกค้าคือความจริงที่สุด เช่น รอนาน สินค้าไม่สม่ำเสมอ บริการไม่ดี ถ้าลูกค้าบ่นเยอะ เมื่อซื้อไปแล้วแฟรนไชส์ซีเหนื่อยแน่นอน 
 
2. ฟังเสียงจากแฟรนไชส์ซีรายอื่น
 

คนที่รู้งานจริงที่สุด ไม่ใช่แฟรนไชส์ซอร์ แต่เป็นแฟรนไชส์ซี ก่อนซื้อแฟรนไชส์ควรติดต่อกับแฟรนไชส์ซีที่กำลังทำธุรกิจอยู่โดยตรง เพื่อถามข้อมูลที่แบรนด์ไม่ได้บอกคุณ เช่น 
 
ได้รับการดูแลดีไหม?
 
บางแบรนด์ช่วยสนับสนุนดีเฉพาะตอนขายสิทธิ์ แต่หลังเปิดร้านกลับหายเข้ากลีบเมฆ
 
ยกตัวอย่าง มีแฟรนไชส์เครื่องดื่มเจ้าหนึ่ง ให้คำปรึกษาดีมากตอนขาย แต่พอเปิดร้านจริง โทรหาไม่รับ ไลน์ไม่ตอบ ส่งข้อความในกลุ่มไม่มีใครช่วย ผลคือแฟรนไชส์ซีหลายรายต้องดิ้นรนเอง
 
มีปัญหาอะไรบ้าง?
 
เช่น วัตถุดิบส่งช้า ระบบไม่เสถียร ราคาต้นทุนปรับขึ้นบ่อย ฯลฯ เรื่องเหล่านี้แบรนด์ไม่ค่อยบอก แต่ผู้ทำจริงจะเล่าให้ฟัง
 
แบรนด์แก้ปัญหาเร็วไหม?
 
ถ้าแก้ปัญหาช้า ร้านคุณจะได้รับผลกระทบทันที ยิ่งธุรกิจอาหาร วัตถุดิบขาดแค่ 1 วัน ทำให้ลูกค้าหายเป็นสิบราย
 
รายได้–กำไรเป็นอย่างที่เขาโฆษณาหรือไม่?
 
บางแบรนด์บอก “คืนทุนใน 6 เดือน” แต่แฟรนไชส์ซีจริงบอก “1 ปีก็ยังไม่คืนทุน” 
 
เสียงจากผู้ซื้อแฟรนไชส์ตัวจริง ทำให้เราได้ความจริงถึง 90%
 
3. ตรวจสอบสถานะทางการเงินของแฟรนไชส์ซอร์
 
ถ้าแบรนด์แข็งแรง จะทำให้ตัวคุณปลอดภัย แฟรนไชส์ซอร์ที่แข็งแรงในด้านการเงิน จะสามารถพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ได้ต่อเนื่อง จัดกิจกรรมด้านการตลาดเพิ่มยอดขายได้ ดูแลระบบหลังบ้านให้ และสามารถสนับสนุนแฟรนไชส์ซีได้ตลอดอายุสัญญา
 
ส่วนแบรนด์ที่มีงบจำกัด จะให้การสนับสนุนน้อย หรือเพิ่มค่าธรรมเนียมเพื่อเอาตัวรอด สุดท้ายแฟรนไชส์ซีเหนื่อย ไปไม่รอด 
 
ยกตัวอย่าง...ช่วงต้นปี 2565 แบรนด์แฟรนไชส์สะดวกซัก WASHCOIN แจ้งปิดกิจการ อ้างพิษโควิด ขาดสภาพคล่อง ส่งผลกระทบผู้ซื้อแฟรนไชส์หลายร้อยราย ต้องเสียเงินจากการซื้อแฟรนไชส์ไปเปิด  

4. ระบบฝึกอบรมและสนับสนุน

นี่คือ “หัวใจของแฟรนไชส์” เลยก็ว่าได้ เพราะนี่คือสิ่งที่คุณซื้อ ต่างจากการเปิดร้านเอง สิ่งที่ควรมี เช่น 

การฝึกอบรมก่อนเปิดร้าน
 
ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เช่น วิธีทำสินค้า การควบคุมต้นทุน การดูแลพนักงาน การบริการลูกค้า การจัดการสต็อก

คู่มือการทำงาน
 
ควรอ่านง่าย ชัดเจน และอัปเดตตามจริง ไม่ใช่ล้าสมัยหรือไม่เคยปรับปรุง

ทีมซัพพอร์ต
 
เช่น ผู้จัดการประจำพื้นที่คอยแวะตรวจร้าน ให้คำปรึกษา ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

การตลาดจากส่วนกลาง
เช่น จัดโปรโมชันตามฤดูกาล กิจกรรมออนไลน์ โฆษณาในเพจหลัก ถ้าทำดีดึงดูลูกค้ามาเอง แต่ถ้าไม่ทำคุณต้องใช้เงินทำเองทั้งหมด

5. วิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนจริง
 

อย่าเชื่อข้อมูลแฟรนไชส์แค่โบรชัวร์ เพราะโบรชัวร์มักจะลงข้อมูลเกินจริงเสมอ ควรขอข้อมูลเชิงลึก เช่น 
 
ค่าลงทุนเปิดร้านจริงๆ 
  • ค่าแฟรนไชส์ 
  • ค่าใช้จ่ายรายเดือน (ค่าส่งเสริมการตลาด, ค่าสิทธิ์รายปี ฯลฯ) 
  • ค่าแรง ค่าน้ำ–ไฟ วัตถุดิบ 
  • กำไรต่อแก้ว/ต่อจาน 
  • จุดคุ้มทุน (Break-even point)
ตัวอย่างที่มักเกิดขึ้น คือ แบรนด์บอกกำไร 50%

แต่จริงๆ กำไรสุทธิแค่ 15–20% เพราะต้นทุนแฝงเยอะ เช่น ค่าส่งวัตถุดิบ ค่าระบบ ค่าบริหารจัดการร้าน ค่าพนักงาน

วิธีง่ายๆ คือ ไปนั่งนับลูกค้าหน้าร้านสาขาใกล้บ้าน 2–3 วัน คุณจะเห็นตัวเลขจริงว่าเม็ดเงินหมุนเวียนมากแค่ไหน

6. ตรวจสัญญาแฟรนไชส์ให้ละเอียด
 
สัญญาแฟรนไชส์ คือ สิ่งที่คุณต้องอยู่ด้วยอย่างน้อย 3–6 ปี หรืออาจยาวกว่านั้น ผู้ซื้อแฟรนไชส์ห้ามรีบ ห้ามเซ็น เพราะเกรงใจ ที่สำคัญห้ามอ่านผ่านๆ โดยเด็ดขาด และสิ่งที่ต้องดูในสัญญาแฟรนไชส์ คือ 
 
ข้อจำกัด เช่น ห้ามขายเมนูเพิ่ม ห้ามเปลี่ยนซัพพลายเออร์ ห้ามย้ายที่ตั้ง ห้ามลดราคาเอง บางข้อทำให้แฟรนไชส์ซีเสียเปรียบมากๆ ค่าใช้จ่ายรายปี
 
บางแบรนด์อาจมีการเก็บเพิ่ม เช่น ค่าระบบ POS ค่าการตลาด ค่า Royalty Fee
  • สิทธิ์การต่อสัญญา
  • ต่อสัญญาแล้วต้องจ่ายเงินเพิ่มไหม?
  • ต้องปรับรูปแบบร้านใหม่หรือไม่?
  • การเพิกถอนสัญญา
แบรนด์มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาตอนไหน เช่น ทำเมนูเพิ่มเอง ไม่เข้าร่วมโปรโมชัน ซื้อวัตถุดิบจากที่อื่น ถ้าเงื่อนไขเข้มเกินไป ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องคิดดีๆ ก่อนเซ็นสัญญาแฟรนไชส์
 
เลือกแฟรนไชส์แบบไหนถึงจะปัง Product Franchise vs Business Format Franchise
 
จริงๆ แล้วแฟรนไชส์มีหลายแบบ แต่ถ้าให้แยกง่ายที่สุดจะมีอยู่ 2 แบบใหญ่ๆ คือ Product Franchise และ Business Format Franchise ซึ่งหลักการเลือกซื้อของทั้งคู่ “ไม่เหมือนกัน” เลย
 
Product Franchise เน้นขายของเป็นหลัก
 

ลองนึกภาพร้านเครื่องดื่มเล็กๆ หรือบูธขายขนมที่เห็นตามตลาดนัด จุดเด่นของแฟรนไชส์แบบนี้ คือ ความง่าย เพราะคุณแค่ซื้อสิทธิ์ในการขายสินค้า ไม่ต้องปวดหัวกับระบบร้านที่ซับซ้อน
 
เวลาจะเลือกซื้อแฟรนชส์แบบนี้ ให้ดู 3 อย่างเป็นหลัก เช่น 
  • สินค้าอร่อย ขายง่าย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม
  • เปิดร้านได้ในหลายทำเล ทั้งนอกห้าง ในห้าง มีกลุ่มลูกค้ารองรับทั่วประเทศ 
  • สินค้าขายได้กำไร คืนทุนได้เร็ว 
ถ้าคุณอยากเริ่มธุรกิจง่ายๆ ใช้เงินไม่เยอะ และเน้นขายสินค้าเป็นหลัก Product Franchise น่าจะตอบโจทย์

Business Format Franchise ซื้อทั้งสินค้า + ระบบธุรกิจ
 
ส่วนแฟรนไชส์แบบนี้จะต่างออกไป เหมือนกับว่าคุณซื้อ “แพ็กเกจธุรกิจทั้งชุด” ไม่ว่าจะเป็นสูตร การฝึกอบรม ระบบบริหารจัดการร้าน การตลาด ตลอดชื่อเสียงแบรนด์ที่ลูกค้าคุ้นเคยอยู่แล้ว
 
ก่อนตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์แบบนี้ ต้องดูให้ดีว่า
  • ระบบแฟรนไชส์แข็งแกร่ง ทั้งหน้าบ้าน-หลังบ้าน มีคู่มือทำงานชัดเจน มีระบบซัพพอร์ตที่ดีตลอดอายุสัญญา 
  • ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุน ทั้งค่าแฟรนไชส์ ค่า Royalty ค่าการตลาด ฯลฯ โดยระยะเวลาคืนทุนที่ดีจริงๆ ต้องไม่เกินครึ่งหนึ่งของอายุสัญญา เช่น สัญญา 3 ปี ต้องคืนทุนภายใน 1 ปี 6 เดือน หรือ 18 เดือน 
  • พร้อมที่จะบริหารพนักงานจำนวนมาก เพราะร้านจะมีขนาดใหญ่ขึ้น งานบริหารจัดการในร้านจะมากขึ้นด้วย อย่างเช่นแฟรนไชส์ 7-Eleven เปิดบริการ ท24 ชั่วโมง ต้องใช้พนักงานราวๆ 10-13 คน  
เหมาะกับคนที่อยากทำธุรกิจจริงจัง แบบมีทีม มีระบบ และอยากอยู่กับแบรนด์ที่สร้างระบบมาเป็นอย่างดี
 
สุดท้ายนี้ สิ่งที่ควรระมัดระวังและจำไว้ให้ดีในการซื้อแฟรนไชส์ คือ แม้ว่าแฟรนไชส์จะเป็นการซื้อความสำเร็จของธุรกิจ แต่ธุรกิจแฟรนไชส์เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ที่อยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอย จะส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค 
 
ถ้าเศรษฐกิจดีจะส่งผลให้การซื้อแฟรนไชส์มีโอกาสสำเร็จ ประชาชนมีกำลังซื้อ คุณต้องดูในเรื่องการเติบโตของตลาดสินค้าและบริการนั้นๆ ถ้าตลาดสินค้าซบเซา ไม่ได้รับความนิยมจากลูกค้าหากซื้อแฟรนไชส์มาเปิดอาจมีความเสี่ยงได้ 

 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
5 แฟรนไชส์มาใหม่! น่าลงทุนประจำเดือนพฤศจิกายน 25..
976
โอกาสมาแล้ว! 13 แบรนด์แฟรนไชส์ระดับโลกพร้อมเปิดต..
744
เจาะลึก Applebee´s แฟรนไชส์ร้านอาหารที่มาแรงทั่..
362
รวมแฟรนไชส์ชานมไข่มุกไทย มีระบบพร้อมเปิดร้าน
351
6 โปรโมชั่น! ส่วนลดค่าแฟรนไชส์ พร้อมใช้ได้ทันที
346
Abiko Curry แฟรนไชส์ฮิตจากโซล สู่เวทีโลกด้วยสูตร..
323
บทความแฟรนไชส์มาใหม่
บทความอื่นในหมวด