บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    ความรู้ทั่วไปทางการตลาด
4.6K
2 นาที
20 ตุลาคม 2559
6 วิธีพิชิตตลาดยุคกระเป๋าแฟบ


ในยุคที่เศรษฐกิจไม่สู้จะดีนักหลายคนชักหน้าไม่ถึงหลัง บางคนหนักกว่าคือหามื้อกินมื้อ เรื่องที่จะมาจับจ่ายใช้สอยเกินความจำเป็นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้

ด้วยเหตุนี้แต่ละครอบครัวจึงมีมาตรการรัดเข็มขัดตัวเองเพื่อป้องกันปัญหาทางการเงินที่จะเกิดในอนาคต แต่ทว่าในโลกของธุรกิจเมื่อคนจับจ่ายน้อยก็เท่ากับว่าโอกาสทำกำไรแทบจะไม่มีเช่นกัน

เหตุนี้เราจะมีหนทางอย่างไรเพื่อฝ่าวิกฤติและทำการตลาดในยุคกระเป๋าแฟบซึ่ง www.ThaiFranchiseCenter.com มี 6 วิธีที่น่าจะปรับใช้เป็นทางออกสำคัญที่ทำให้ธุรกิจนั้นยังพอเดินหน้ารอเวลาที่เศรษฐกิจจะกลับมาสดใสในอนาคต
 
1. กลับคืนสู่สามัญ
นักการตลาดหลายคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจ้าของสินค้าควรกลับมาที่เบสิกของการตลาดคือ สินค้าหรือบริการต้องคุ้มค่ากับเงินที่ผู้บริโภคจับจ่าย

นอกจากนี้ยังควรต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เนื่องจากช่วงเวลานี้ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าตามความจำเป็น จึงจำเป็นต้องให้ผู้บริโภคไม่คิดมาก หรือรู้สึกระแวงเมื่อซื้อสินค้า หรือใช้บริการ นอกจากนี้ ยังควรหันมาใช้กลยุทธ์แบบปากต่อปาก เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคน้อยจึงไม่จำเป็นต้องทุ่มกับการสื่อสารการตลาดมากนัก
              
2.Brand Building
 
ช่วงเศรษฐกิจดีพฤติกรรมผู้บริโภคจะใช้อารมณ์เป็นตัวนำในการซื้อเรียกว่าชอบแบบไหนอยากได้อะไรก็ไม่สนใจซื้อๆ และซื้อ เราจึงเห็นแบรนด์ใหม่ๆผุดขึ้นมาในช่วงนั้นราวกับดอกเห็ด

แต่ทว่าในยามกระเป๋าแฟบพฤติกรรมการซื้อเปลี่ยนสิ้นเชิงเป็นการใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ตลาดช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นการเคลียร์ตัวเองว่าใครคือผู้นำและเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงในโลกของธุรกิจ

ด้วยเหตุนี้การสร้างแบรนด์ให้คนจดจำตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจดีๆ เป็นเรื่องสำคัญมากถ้าใครเคยทำแบบนั้นไว้คนจะติดและฝังใจเลือกใช้สินค้าและบริการของเราในยามกระเป๋าแฟบเช่นกัน ยกตัวอย่างเครื่องดื่มประเภทชาเขียวที่มีการตลาดอย่างต่อเนื่อง ในยามที่เศรษฐกิจฝืดเคืองแม้มีผลกระทบบ้างแต่ยอดขายก็ยังดีและมีส่วนแบ่งการตลาดที่สูง 
 
3.เรียนรู้การใช้ระบบ CRM ผูกสัมพันธ์ให้แนบแน่น
 
เพราะต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่สูงกว่าการรักษาลูกค้าเก่า 3-15 เท่า ทำให้ ระบบCRM (Customer Relationship Management) หรือการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้ามีความสำคัญมากนี่คือเครื่องมือการตลาดที่เจ้าของธุรกิจจะขาดไม่ได้ในยุคนี้

การที่ธุรกิจไม่อาจรักษาฐานลูกค้าไว้ทำให้ธุรกิจอยู่ยากขึ้นเพราะการบริการที่ไม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงและไม่สามารถสร้างความพึงพอใจได้อย่างสูงสุดการมีฐานลูกค้าที่ดีไม่ต่างจากการมีคนที่ภักดีต่อแบรนด์เป็นผลให้ธุรกิจสามารถทรงตัวได้ดีแม้ในยามที่การเงินนั้นหายากเต็มทีด้วย
 
4.รู้จักการใช้ CSR ให้เกิดประโยชน์สูงสุด


CSR (Corporate Social Responsibility) แม้ไม่ใช่เครื่องมือการตลาดสำหรับการเพิ่มยอดขายหรือเพิ่มผลกำไรในทางตรง แต่ CSR มีความสำคัญที่จะเชื่อมต่อกับกลุ่มผู้บริโภคให้มีความรู้สึกที่ดีต่อสินค้าและบริการนั้นๆ

พูดง่ายคือการสร้างภาพลักษณ์ที่ทำให้สังคมเกิดความเชื่อมั่นยิ่งในยุคที่เป็นโซเชี่ยลเนทเวิร์คสิ่งที่ธุรกิจทำผิดพลาดจะแพร่กระจายในสังคมอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกันถ้ามีภาพลักษณ์ดีๆ ก็ย่อมเกิดศรัทธาแม้ในยามเศรษฐกิจไม่ดีคนก็จะใช้เหตุผลในการซื้อว่าเป็นแบรนด์ที่ดีเป็นแบรนด์ที่มีประโยชน์ต่อสังคมเป็นต้น
 
5.จำเป็นต้องเน้นการ PR

 
เทคนิคของการ PR ที่สำคัญและจำเป็นนั้นเนื่องจากจะเป็นตัวต่อยอดในทุกกิจกรรมการตลาด เป็นตัวช่วยต่อยอดให้กับโฆษณา, เซล โปรโมชั่น, อีเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง ต่างๆ

ที่สำคัญการทำ PR นั้นใช้งบประมาณที่น้อยกว่า ซึ่งหลายคนมองภาพไม่ออกว่าตกลงแล้วระหว่าง Marketing กับ PR นั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกันหรืออย่างไร
 

ถ้าเราเหมารวมก็อาจจะเป็นเรื่องเดียวกันได้แต่ถ้าแยกรูปแบบออกมาจะพบว่า Marketing เป็นศาสตร์แห่งการทำให้คนมาเป็นลูกค้า แต่ PR จะเน้นเรื่อง ‘คน’ การทำให้ชื่อบริษัท และชื่อองค์กรปรากฏในสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ดังนั้นในยุคที่เงินฝืดรายรับน้อยกว่ารายจ่ายการทำ PR ก็เพื่อตอกย้ำแบรนด์ให้ลูกค้าจดจำและศรัทธาก่อนการทำ Marketing ที่อาจจะตามมาในภายหลังนั่นเอง
 
6.รู้จักใช้ CEM เพื่อบริหารประสบการณ์ดีๆของลูกค้าให้เกิดขึ้น

ระหว่าง CRM กับ CEM นั้นแตกต่างกันที่ CEM คือวิธีการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ามีความรู้สึกเชิงบวกต่อสินค้าและบริการที่จะสามารถต่อยอดไปเป็นฐานลูกค้า

เมื่อเป็นฐานลูกค้าก็จะใช้เทคนิค CRM เข้ามาบริหารจัดการต่อ เทคนิคของการทำ CEM นั้นต้องให้ลูกค้ารู้สึกว่านี่คือสินค้าหรือบริการที่พิเศษกว่ารายอื่นๆโดยมองลึกลงไปในใจผู้บริโภคที่เข้ามาซื้อสินค้าว่าเพื่ออะไร หรือแม้แต่การนำมาบัตรเครดิตมาใช้ว่าที่จริงแล้วเขาอยากใช้เพื่ออะไร เพื่อซื้อสินค้าได้ถูก...ประหยัด หรือเพื่อได้เครดิต เป็นต้น
 
แม้จะดูว่าเป็นความรู้เชิงวิชาการมากไปสักหน่อยแต่สำหรับการทำธุรกิจตั้งแต่ระดับกลางถึงขนาดใหญ่แล้ว วิธีเหล่านี้คือเครื่องมือสำคัญที่ควรนำมาใช้อย่างจริง

แต่สำหรับพ่อค้าแม่ค้าธรรมดาก็อาจประยุกต์ใช้บางข้อ เช่น การพยายามรักษาฐานลูกค้าหรือว่าการหาสินค้าที่ดีที่เหมาะสมกับราคามาจำหน่ายก็น่าจะใช้เป็นวิธีแก้ไขปัญหาในยามเศรษฐกิจไม่ดีได้ในระดับหนึ่งและเมื่อถึงวันที่เศรษฐกิจรุดหน้าสินค้าเราก็จะยิ่งติดตลาดขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามากขึ้นหลายเท่าตัวทีเดียว
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
424
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด