บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
261
4 นาที
30 ธันวาคม 2568
กลยุทธ์ ปี 69 จิตวิทยาพฤติกรรม Behavior-Driven Marketing
 

ปี 2569 ที่กำลังจะมาถึงคาดการณ์ว่าจะหนักหนาสาหัสไม่แพ้ปี 2568 หรือบางทีอาจจะหนักยิ่งกว่า เมื่อดูหลายปัจจัยที่ผนวกรวมกันทั้งเศรษฐกิจโลก และปัญหาภายในประเทศที่รุมเร้า การทำธุรกิจในปี 2569 จะอาศัยแค่คุณภาพอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองถึงพฤติกรรมผู้บริโภค และปรับตัวโดยใช้กลยุทธ์ด้านการตลาดให้สอดคล้องเพื่อประคับประคองให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
 
ภาพรวมเศรษฐกิจปี 2568 “อาการหนัก”
 
ในปี 2568 ที่กำลังจะผ่านไปอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความท้าทายทางธุรกิจที่หนักยิ่งกว่าในปี 2569 อย่างที่ทราบว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้อัตราเติบโตค่อนข้างต่ำ ตัวเลขจากหลายแห่งอาจคาดการณ์ไม่เหมือนกันอย่างกระทรวงการคลังประเมินไว้ที่ 2.4% ในขณะที่หอการค้าไทยประเมินไว้ ที่ 1.7 – 2.0% แต่ถึงอย่างไรก็ตามภาพรวมจริงๆ คือ GDP ของไทยในปี 2568 เติบโตไม่ถึง 3% สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหลายอย่างได้แก่
 
1.ภาระค่าครองชีพสูงและกำลังซื้ออ่อนแอ
 

ปี 2568 ประเทศไทยยังคงอยู่ในภาวะ “เงินเฟ้อต่ำแต่ค่าครองชีพสูง” รายได้เฉลี่ยของคนไทยแทบไม่โตแต่ราคาสินค้าจำเป็น (อาหาร เครื่องดื่ม พลังงาน) กลับขึ้นสะสมต่อเนื่องหลายปี ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ ราคาในการตัดสินใจซื้อ และครัวเรือนไทย 64% ลดการใช้จ่ายสินค้าที่ “ไม่จำเป็น”เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนเอาไว้ใช้ในแต่ละเดือนมากขึ้น
 
2.ปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนที่วิกฤติหนัก
 
ข้อมูลสำรวจระบุว่าหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนในปี 2568 สูงถึง 740,596 บาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี และเพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มลูกหนี้เปราะบาง ที่เป็นครัวเรือนรายได้น้อย มีสัดส่วนหนี้เสีย(NPLs) อยู่ที่ 1.24 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เท่านั้นยังไม่พอในไตรมาส 1 ปี 2568 มีคนไทยกว่า 5.4 ล้านคนติดหนี้เรื้อรัง ที่เกิดจากพฤติกรรมชอบจ่ายขั้นต่ำ-ผิดนัดชำระ และน่าตกใจกว่า คือถึงจะเป็นคนที่สามารถจ่ายไหว แต่กว่า 65% ก็ยังเลือกจ่ายขั้นต่ำ ทำให้เสี่ยงต่อการสะสมดอกเบี้ยสูงไปเรื่อยๆ และกลายเป็นวงจรหนี้ที่ไม่สิ้นสุด
 
3.ความเสี่ยงด้านเงินฝืดที่น่าเป็นห่วง
 

เมื่ออัตราเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เช่น 3-6 เดือนนำไปสู่อัตราเงินฝืด ซึ่งตัวเลขในปี 2568 อัตราเงินเฟ้อของไทย -0.49% ทำให้ต้องจับตามองเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะสะท้อนถึงกำลังซื้อที่หดหาย ปัญหาสินค้าล้นตลาด การแข่งขันกันด้านสงครามราคา ซึ่งทุกอย่างเป็นปัญหาต่อภาคธุรกิจที่ทำให้ลดทอนกำไรเหลือน้อยลงในทางกลับกันก็เป็นการเพิ่มภาระในต้นทุนอื่นๆที่สูงขึ้น
 
4.การลดลงของธุรกิจ SMEs ในประเทศ
 
ในปี 2568 เราเจอภาวะทางเศรษฐกิจแบบ K-shaped คือบริษัทใหญ่ยังเติบโตได้ดี แต่บรรดา SMEs กลับต้องดิ้นรนและล้มละลาย ซึ่งข้อมูลน่าสนใจระบุว่าเพียง 2 เดือนแรกของปี 2025 ที่ผ่านมาพบว่า ธุรกิจเปิดใหม่หดตัว 5.1% แต่ธุรกิจปิดกิจการเพิ่มขึ้น 16.9% สอดคล้องกับจำนวนการเปิดโรงงานที่ลดลง 4 ปีติดต่อกันตั้งแต่เกิดโควิด ซึ่งก็เกิดจากปัจจัยหลายอย่างมาผสมผสานจนเกิดความน่ากังวลดังกล่าว
 
แน่นอนว่าปัญหาที่กล่าวมาอาจเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งและทุกปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข และจะสานต่อไปยังปี 2569 ที่ประเมินกันว่าจะ “วิกฤติยิ่งกว่าเก่า” ยิ่งในภาคธุรกิจที่ไม่เตรียมรับมือหรือไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจะไม่สามารถรับมือวิกฤติเหล่านี้ได้
 
คาดการณ์เศรษฐกิจปี 69 โตต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
 

สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย(MAT) ระบุว่าในจำนวนนักการตลาด 126 คนมีถึง 56% ที่มองว่า เศรษฐกิจไทยปี’69 จะโตยากยิ่งกว่าปี’68 และเศรษฐกิจอาจจะเติบโตเพียง 0.9% เท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่สมาคมฯ ได้เริ่มทำการสำรวจมา สอดคล้องกับข้อมูลจากบรรดาผู้บริหารธุรกิจต่างๆที่ระบุว่าในปี 69 จะไม่เพิ่มงบการตลาด แต่จะหันไปลงทุนกับ แพลตฟอร์มที่เป็นช่องทางขาย แม้จะมีค่าใช้จ่ายต่าง เช่น ค่า GP จะสูงขึ้น แต่ก็จำเป็นเพื่อเปลี่ยนงบประมาณที่มีจำกัด ไปเป็นรายได้และสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคให้มากที่สุด ซึ่งก็พอจะสรุปเป็นภาพรวมใหญ่ได้ 2 เรื่องในปี 69 คือ
  1. ธุรกิจส่วนใหญ่จะรัดเข็มขัดเต็มเหนี่ยว ในปี 69 ธุรกิจส่วนใหญ่จะไม่เพิ่มงบการตลาด แต่หากต้องใช้เงินลงทุนจะทุ่มไปที่เรื่องอีคอมเมิร์ซเป็นอันดับแรก
  2. เป็นปีที่ “กำไร” ต้องมาก่อนโดยธุรกิจมักยก 3Ps เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ได้แก่ Profit , People และ Planet ซึ่งปี 2569 ยังเป็นอีกปีที่ Profit หรือ “กำไร” ต้องมาก่อนต่อเนื่องจากปี 2568 ตามด้วย People และ Planet 
ยังไม่นับรวมปัจจัยทางการเมืองและแผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน ไหนจะปัญหาโครงสร้างทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับคนสูงวัย วัยแรงงาน ที่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนทุกอย่างคือปัญหาที่ต้องรอการแก้ไขและเกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจทั้งสิ้น
 
รวมกลยุทธ์ด้านการตลาดสำหรับธุรกิจในปี 2569
 
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรวดเร็ว และปัจจัยแวดล้อมที่ยังคาดเดาไม่ได้ทั้งปัญหาภัยธรรมชาติ สงคราม เศรษฐกิจโลก หรือว่าการเมือง สิ่งที่ดีที่สุดคือการเตรียมวางแผนรับมือโดยมีกลยุทธ์น่าสนใจที่คาดว่าเหมาะสมกับการนำไปใช้ในปี 2569 ได้แก่
 
1.การใช้ประโยชน์จาก Chaotic Advantage
 

คือแนวคิดการเปลี่ยนความวุ่นวายที่เกิดขึ้นให้กลายเป็นความได้เปรียบทางธุรกิจ ซึ่งการตลาดแบบเดิมคือ Competitive Advantage ที่เน้นการสร้างกำแพงป้องกันไม่ให้คู่แข่งตามทัน ซึ่งจะตรงช้ามกับ Chaotic Advantage อย่างสิ้นเชิง สำคัญคือธุรกิจต้องสังเกต + ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว เช่นการใช้ AI และ Big Data เพื่อตรวจจับเทรนด์ผู้บริโภคที่กำลังจะเปลี่ยนไป และปรับแคมเปญการตลาดภายใน 24 ชั่วโมง
 
2. เพิ่มศักยภาพ “การซื้อของลูกค้า” (Enable Purchasing Power)
 
การตลาดแบบเก่ามักดึงดูดลูกค้าให้ "ซื้อ" สินค้า แต่ในปี 69 ที่เศรษฐกิจชะลอตัวและหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น การที่ลูกค้าจะ "ซื้อ" ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเขามี "เงินเหลือพอที่จะซื้อ" หรือเปล่า ก็เป็นหน้าที่ของธุรกิจที่ต้องบริหารจัดการเรื่องนี้เพื่อกระตุ้นการซื้อเช่น การลดต้นทุนดำเนินการเท่าที่ทำได้เพื่อให้ราคาสินค้าไม่สูงเกินไป หรือสร้างรูปแบบการเงินที่ยืดหยุ่นเช่น เปลี่ยนค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนที่จัดการได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
 
3.เน้นการใช้ AI Marketing มากขึ้น
 

ภาพจาก https://app.envato.com

จากเดิมที่ AI อาจเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้ทำให้งานเร็วขึ้น แต่ในปี 69 จะเปลี่ยนบทบาทขึ้นมาเป็นฐานะพนักงานคนหนึ่งในธุรกิจ หรือพูดง่ายๆ คือการใช้ AI เพื่อหวังผลทางการตลาดอย่างชัดเจน เช่น วิเคราะห์สภาพตลาด คู่แข่ง และข้อมูลลูกค้าทั้งหมด เพื่อสร้างแคมเปญที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อเพิ่มยอดขาย
 
4.เปลี่ยนจาก Brand Management สู่ Brand Movement
 
ภาพลักษณ์เดิมของธุรกิจคือ Brand Management ที่เป็นแค่สินค้าหรือบริการในสายตาลูกค้า แต่ในปี 69 ลูกค้าจะไม่ได้ตัดสินใจซื้อจากแค่คุณภาพหรือราคา แต่จะดูถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Movement) ที่แตกต่างจากคู่แข่ง ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์เครื่องแต่งกายที่จะไม่ได้แค่ขายเสื้อผ้า แต่แนวคิดในการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ถึงขั้นแนะนำให้ลูกค้า อย่าเพิ่งซื้อเสื้อผ้าชุดนี้ ถ้ายังไม่จำเป็น เพื่อตอกย้ำจุดยืนในการลดการบริโภคที่เกินความจำเป็น ซึ่งจะทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ได้มากขึ้น
 
5. ธุรกิจต้องสร้างกระแส Drama Quality
 

ภาพจาก https://app.envato.com

การตลาดส่วนใหญ่ในปีที่ผ่านมาจะเน้นการสร้างกระแสให้คนสนใจ โดยไม่คำนึงถึงเนื้อหาหรือผลกระทบในวงกว้าง มีเป้าหมายเพียงเพื่อให้เกิดการกล่าวถึงให้มากที่สุดเพื่อหวังผลเรื่องยอดขาย แต่นับจากนี้เป็นต้นไปการแข่งขันจะรุนแรงขึ้นและจำเป็นต้องสร้างกระแสแบบ Drama Quality เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่แบรนด์ ยกตัวอย่างโฆษณาของประกันชีวิตที่มักสร้างไวรัลด้วยเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ความเห็นอกเห็นใจนื้อหาเหล่านี้ถูกแชร์อย่างกว้างขวางเพราะคอนเทนต์ที่เน้นคุณภาพร่วมด้วย
 
6.ใช้ Influencer ในรูปแบบของ Spiritual Guides
 
แต่เดิมการตลาดส่วนใหญ่ใช้ Influencer สำหรับการขายมักจะพูดถึงแบรนด์ในแง่คุณสมบัติที่ดีต่างๆ แต่การตลาดที่แข่งขันมากขึ้นการตัดสินใจของลูกค้าจะฉลาดและรู้เท่าทันมากขึ้น สิ่งที่ต้องการไม่ใช่แค่ข้อดีแบบทั่วไปแต่ลูกค้าอยากจะรู้ว่าสินค้าเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตหรือคุ้มค่าต่อการใช้จ่ายได้ดีแค่ไหน ก็เป็นหน้าที่ของ Influencer ที่ต้องเป็น Spiritual Guides เช่น Influencer ด้านการเงิน ที่สอนเรื่อง "อิสรภาพทางการเงิน" หรือ "ความมั่นคงในวัยเกษียณ" จากนั้นนำเสนอโบรกเกอร์ (สินค้า)ว่าเป็นช่องทางที่เชื่อถือได้ ในการเริ่มสร้าง ความมั่นคงในชีวิต
 
ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้ก็ได้ถูกพูดถึงในงานวันนักการตลาดแห่งประเทศไทยปี 2568 และสรุปมาเป็นคาถา 4 ข้อ หรือ A-B-C-D เพื่อการอยู่รอดของธุรกิจในปี’69 ได้แก่
  • Analytical Thinking + AI + Analytics การคิดเชิงวิเคราะห์ที่อยู่บนโลกเทคโนโลยี AI และดาต้า ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีข้อมูลที่แม่นยำและรวดเร็วขึ้น และหมดยุคการลองผิดลองถูก 
  • Balance เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความรวดเร็วและความรอบคอบในการดำเนินกลยุทธ์และลงทุนกับการจัดการความเสี่ยง ทั้งนี้ต้องเร็วและอยู่บนความเข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง  เพราะปี 2569 เศรษฐกิจไม่ดีดังนั้นงบประมาณจึงมีไม่พอที่จะเดินหน้ารุกอย่างเดียว
  • Creativity คือความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบจะเกิดผลลัพธ์เชิงบวก แม้มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ แต่สามารถต่อยอดจากการใช้ AI และ Data เพื่อทำให้ 1 + 1 มีค่ามากกว่า 2 
  • Data การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีคุณภาพ เพื่อสร้างความผูกพันทางอารมณ์และความรู้สึกกับลูกค้า เพื่อที่ลูกค้าจะได้รู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจเขาอย่างแท้จริง  
และสำหรับ 3 เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2569 นักการตลาดมองว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องการค้าออนไลน์ มากเป็นอันดับแรกเพราะลูกค้ามีเทคโนโลยีในมือที่เข้าถึง ขณะที่เทรนด์สุขภาพยังให้ความสำคัญต่อไป รวมถึงเรื่องคุณภาพที่ต้องคุ้มราคาจ่าย สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่นักการตลาดต้องนำมากำหนดเป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างธุรกิจในปี 2569 ให้เติบโตได้อย่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด

 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
650
กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไ..
599
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
542
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
499
ยอดวิวคือพลังการตลาด! ปั้มวิว TikTok ให้แฟรนไชส์..
493
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
459
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด