บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    Startups    แอพพลิเคชั่นและซอฟต์แวร์
2.6K
3 นาที
22 พฤษภาคม 2560
เทียบฟอร์ม 5 ยักษ์ใหญ่วงการไอที! มีดีอะไรบ้าง

 
ภาพจาก goo.gl/9jp1Ue

เมื่อสังคมโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอลเต็มตัวคาดว่าในอนาคตคงมีการเปิดตัวนวัตกรรมที่น่าสนใจมาเรียกเสียงฮือฮาได้อีกมาก และทิศทางของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าทางกับยักษ์ใหญ่ในวงการไอทีทั้งหลายที่เหมือนถูกหวยก้อนใหญ่กับการพัฒนารูปแบบตัวเองให้สอดคล้องกับการเป็นเจ้าพ่อในโลกไอทีมากขึ้น

และถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว 5 ยักษ์ใหญ่ในวงการไอทีอันได้แก่ Apple , Alphabet , Microsoft , Amazon และ Facebook ต่างก็มีจุดเด่นที่สร้างฐานลูกค้าและสร้างรายได้ให้กับตัวเองอย่างดี

โดยในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา 5 บริษัทนี้มีมูลค่ารวมประมาณ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยในปี 2016 ที่ผ่านมา สามารถสร้างรายได้รวมกัน 555 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ มีมูลค่าสูงกว่าบริษัทกลุ่ม blue chip เดิมในตลาดไปแล้ว www.ThaiFranchiseCenter.com จึงได้นำข้อมูลของ 5 ยักษ์ใหญ่ที่ว่านี้นำเสนอให้ท่านผู้อ่านรับทราบถึงทิศทางที่เป็นอยู่เพื่อให้รู้ว่าวงการนี้ยังพร้อมที่จะพัฒนาก้าวหน้าได้อีกมากทีเดียว
 
1.Apple 

 
ภาพจาก goo.gl/rtCBCw

หรือในชื่อเดิม บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer Inc.) เป็นบริษัทในซิลิคอนแวลลีย์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แอปเปิลปฏิวัติคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในยุค 70 ด้วยเครื่องแอปเปิล I และแอปเปิล II และแมคอินทอช ในยุค 80 ปัจจุบันแอปเปิลมีชื่อเสียงด้านฮาร์ดแวร์ เช่น ไอแมค ไอพอด ไอโฟน ไอแพด และร้านขายเพลงออนไลน์ไอทูนส์
 
และมีมูลค่าบริษัท 804 พันล้านดอลลาร์ มีรายรับ 216 พันล้านดอลลาร์ และเป็นรายได้ 46 พันล้านดอลลาร์ สินค้าหลักของบริษัาทคือ Hardware สัดส่วนของรายได้ นั้น 63% มาจาก iPhone , 11% จาก Mac , 11% มาจากบริการต่างๆ และ 10% มาจาก iPad ซึ่งถือได้ว่า Apple ได้พยายามพัฒนานวัตกรรมต่างๆให้ต่อเนื่องตลอดเวลาและดูเหมือนว่านวัตกรรมของ Apple จะเกิดจากความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภคจึงทำยอดขายทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

2.Alphabet 
 
 
ภาพจาก goo.gl/4wdzyi

Alphabet หรือบริษัทแม่ของ Google มีมูลค่าบริษัท 651 พันล้านดอลลาร์ มีรายรับ 90 พันล้านดอลลาร์ และเป็นรายได้ 19 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ Alphabet เป็นบริษัทแบบโฮลดิ้ง คือบริษัทที่ไม่มีธุรกิจหลักของตัวเอง โดยมีรายได้จากการถือหุ้นในบริษัทอื่นเป็นหลัก เพื่อการควบคุมยิ่งกว่าเพื่อการลงทุนโดยการถือหุ้นของบริษัท Alphabet นี้ ถือหุ้นในกิจการต่างๆ ซึ่ง Alphabet จะถือหุ้น Google และบริษัทอื่นๆ บางรายที่ Google เคยซื้อมาเช่น Nest, Calico, Fiber ก็จะขึ้นอยู่ในเครือ Alphabet  ด้วย รายได้หลักของ Alphabet กว่า 88% มาจากโฆษณา Google Adwords, Youtube,
 
อีกประมาณ 11% มาจาก Google play, Pixel และ แอนดรอยด์ เป็นต้น ซึ่งก็นับว่ารูปแบบของ  Alphabet เองก็มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานและยกฐานะให้ตัวเองกลายเป็นเสิร์ชเอนจิ้นที่มีรายได้มหาศาลด้วยการเข้าไปเชื่อมโยงกับธุรกิจอีกหลายส่วนด้วยกัน
 
3.Microsoft 


 
ภาพจาก goo.gl/pImT8e

เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลก มีฐานการผลิตอยู่ที่เมืองเรดมอนด์ รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ที่มีกำลังการตลาดมากที่สุดคือ ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์ วินโดวส์ และ ไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ ทำให้มีมูลค่าบริษัท 536 พันล้านดอลลาร์ เป็นรายรับ 85 พันล้านดอลลาร์ และมีรายได้ 17 พันล้านดอลลาร์ สินค้าหลักคือ ซอฟต์แวร์ ที่มีคนใช้งานทั่วโลก สัดส่วนรายได้กว่า 28% จึงมาจาก Microsoft Office , 22% มาจาก Windows Server และ Azure , 11% จาก Xbox9% จาก Windows และอีกประมาณ 7% มาจากการโฆษณา เป็นต้น
 
4.Amazon


 
ภาพจาก goo.gl/2awZnl

เป็นเว็บไซต์ในลักษณะอีคอมเมิร์ซ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองซีแอตเทิล ในรัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา Amazon เป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยมีขนาดใหญ่กว่าอันดับ 2 ซึ่งคือ สเตเปิลส์ ประมาณสามเท่าตัว โดย Amazon นั้นเริ่มต้นมาจากการขายหนังสืออนไลน์ก่อนขยับเข้ามาเป็นอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่สุดในโลก

โดยปัจจุบันมีมูลค่าบริษัท 455 พันล้านดอลลาร์ รายรับ 136 พันล้านดอลลาร์ เป็นรายได้ 2 พันล้านดอลลาร์ ธุรกิจหลักคือ ค้าปลีกออนไลน์ โดยมีสัดส่วนรายได้ 72% จากสินค้าต่างๆที่เป็น Amazon Product (สินค้าต่างๆ) อีกกว่า 18% มาจาก Amazon Media ได้แก่ เพลง, หนัง, ซอฟต์แวร์ต่างๆ และอีกกว่า 9% มาจาก Amazon Web Services ทั้งนี้ Amazon เองยังมีแผนการตลาดที่เฉียบขาดและพร้อมขยายเข้าไปยังประเทศเป้าหมายเพื่อการเติบโตที่มากขึ้นในอนาคตด้วย
 
5.Facebook 

 
ภาพจาก goo.gl/ukRgUH

เป็นบริการเครือข่ายสังคมยอดฮิตที่มีคนใช้งานทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 1,390 ล้านรายชื่อ หรือถ้านับในประเทศไทยก็มีไม่ต่ำกว่า 35 ล้านรายชื่อซึ่งถือเป็นสังคมออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อคนในสังคมมากที่สุด โดย Facebook มีลูกจ้างไม่ต่ำกว่า 2,000 คนและมีสำนักงานทั่วโลกกว่า 12 แห่ง และรายได้ส่วนมากของเฟซบุ๊กมาจากการโฆษณา

โดยไมโครซอฟท์เป็นผู้ร่วมหุ้นพิเศษในด้านการบริการแบนเนอร์โฆษณา โดยมีมูลค่าบริษัทกว่า434 พันล้านดอลลาร์ มีรายรับ 28 พันล้านดอลลาร์ เป็นรายได้ 10 พันล้านดอลลาร์ หลักๆ มาจากโฆษณากว่า 97%
 
และถ้าเราดูสถิติตัวเลขทั้งหลายเหล่านี้จะพบว่า ในปี 2016 ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกของ Apple ที่รายได้ลดลงนับตั้งแต่ปี 2001 แต่ยังสามารถทำกำไรได้ดี คิดเป็น 21% ขณะที่ Amazon สร้างรายได้อย่างมหาศาลแต่มีกำไรเพียง 2% ต่างจาก Facebook ที่ทำกำไรได้ 36% Facebook และ Alphabet มีรายได้หลักมาจาก โฆษณา

ส่วน Apple มี ฮาร์ดแวร์ เป็นธุรกิจหลัก คือ ทั้ง iPhone, Mac และ iPad รวมกันแล้ว 84% สำหรับ Amazon รายได้หลักมาจากการขายสินค้าออนไลน์ ขณะที่ Microsoft ขายซอฟต์แวร์ แต่สามารถสร้างสัดส่วนรายได้จากหลากหลายซอฟต์แวร์ได้อย่างดี
 
สิ่งที่น่าสนใจหากลองรวบรวมทั้ง  5 บริษัทเข้าด้วยกัน แล้วแบ่งประเภทของธุรกิจที่สร้างรายได้และการเติบโตจะพบว่า
  • Hardware ได้แก่ iPhone, iPad, Mac, Xbox และ Surface สร้างรายได้รวมกัน 36%
  • Online Retail ได้แก่ Amazon Product และ Media สร้างรายได้ 22%
  • Advertising โฆษณาจาก Google, Facebook, Youtube สร้างรายได้ 20%
  • Software ได้แก่ Office, Windows มีสัดส่วน 6%
  • Cloud/Server เช่น Microsoft Server, Azure, AWS มีสัดส่วน 6%
  • อื่นๆ เช่น บริการต่างๆ มีสัดส่วนรายได้ 11%
จะเห็นได้ว่าธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี คือ Hardware, Online Retail และ Advertising ประมาณ 78% ส่วน Software ที่ไม่ได้เป็นตัวสร้างรายได้เหมือนในอดีต

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า Software ยังเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างรายได้อยู่ดี เช่น Android ระบบปฏิบัติการที่ให้ใช้ฟรี แต่ให้คนซื้อแอป หรือจะเป็น iOS ที่มาพร้อมกับเครื่องก็ตาม
 
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S
 
ขอบคุณข้อมูลจาก goo.gl/VadAog
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
610
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
508
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
430
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
413
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
408
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด