ภาพจาก goo.gl/oC2yXX

ในแง่ของการทำธุรกิจคงไม่ใช่เรื่องสนุกนักหากจะต้องมีใครสักคนมาผูกขาดตลาดแต่เพียงผู้เดียว ในอดีตตลาดค้าปลีกสหรัฐเป็นการแข่งขันที่หลากหลายมาก มักมีการเกิดธุรกิจรายใหม่ขึ้นมาต่อสู้กันทางการตลาด จนกระทั่งการขยับตัวของ Amazon ที่ส่งสัญญาณว่างานนี้ต้องการขึ้นแท่นเป็นผู้นำการค้าในสหรัฐชนิดที่เรียกว่า ค้าปลีกที่ขายมีอยู่แต่เก่าก่อนพากันล้มหายตายจากกันระเนระนาดเลยทีเดียว

 

www.ThaiFranchiseCenter.com มองก้าวย่างของ Amazon ในการรุกคืบตลาดค้าปลีกของสหรัฐนั้นหากเปรียบกับการเข้าตีเมืองก็คือค่อยๆ เจาะหัวเมืองสำคัญๆของธุรกิจก่อน จากนั้นก็ใช้ฐานของธุรกิจนั้นๆเข้ามาต่อยอดธุรกิจ Amazon อีกที ลักษณะนี้เบื้องต้นเหมือนกับการใช้ป่าล้อมเมือง แต่ตอนนี้ก็ถือว่าสำเร็จเพราะเข้าตีอาณาจักรค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาและดันตัวเองขึ้นมาเป็นผู้นำได้ตามแผนการณ์ที่วางไว้ 
 

 

ภาพจาก goo.gl/oqy8ES

 

ทุกวันนี้ห้างสรรพสินค้าอย่าง Sears ปิดสาขาตัวเองไปถึง 41 แห่ง และ Kmart ที่ปิดสาขาไปอีกกว่า 109 แห่ง และตัวเลขแห่งหายนะของค้าปลีกก็ยังไม่หยุดเท่านี้หลังจากที่ในปีที่ผ่านมามีการเติบโตเพียงแค่ร้อยละ 2 ตรงกันข้ามกับตลาดอีคอมเมิร์ชที่โตถล่มทลายได้ถึง 16 % ยังไม่นับรวม Macy’s ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ในสหรัฐที่ทำการปลดพนักงานกว่า 3,900 อัตราและพร้อมจะลดได้อีก 6,200 อัตรา รวมถึงการปิดสาขาอีกกว่า 68 แห่งในช่วงปีที่ผ่านมา

 

แต่งานนี้ใครจะยังไงก็ชั่ง  Amazon ก็ยังเดินหน้าในการสร้างความเติบโตให้ตัวเองไม่หยุดล่าสุดกับการลงทุนไปกว่า 13,700 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อกิจการ Whole Foods Market เชนค้าปลีกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารออแกนิคคุณภาพดี ที่ทำให้ผู้บริโภคสนุกกับการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ

นั้นก็หมายความว่า Amazon ได้เพิ่มศักยภาพของตัวเองด้วยตลาดสุขภาพเป็นที่เรียบร้อย ทำให้ตอนนี้ Amazon กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าการตลาดสูงกว่ามูลค่าของธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ในอเมริการวมกันไม่ว่าจะเป็น Macy’s , Kohl’s , Sears , JCPenney, Best Buy, Barnes & Noble และรวมถึง Target ด้วย

 

อย่างไรก็ตามที่ยังดูพอจะแข็งแกร่งและมีแรงสู้กับ Amazon อยู่ได้ตอนนี้ก็เห็นจะมีแค่ Target และ Walmart ที่ยังพยายามดิ้นรนทุกหนทางในการเพิ่มสัดส่วนการตลาดของตัวเองอย่างเต็มที่
 

 

ภาพจาก goo.gl/GH1aNV

 

ดูที่ Walmart งัดการจับคู่ธุรกิจกับ สตาร์ทอัพอย่าง Jet และเข้าซื้อธุรกิจรองเท้าแฟชั่นออนไลน์ ShoeBuy ก็ดูจะทำให้การแข่งขันนี้สมน้ำสมเนื้อมากขึ้น แต่งานนี้ไม่รวมวิธีบริการของ Walmart ที่พร้อมส่งของให้ลูกค้าฟรีหากใช้เวลาไม่เกิน 2 วัน ที่แม้จะทำให้มียอดขายได้มากกว่า 1 ล้านชิ้นแต่ก็ดูจะไม่กระทบกระเทือน Amazon นักเนื่องจาก Amazon เองก็มีรูปแบบบริการในลักษณะใกล้เคียงกันนี้แต่ให้จ่ายเป็นเงินสด และมีส่วนลดค่าสมาชิกให้เช่นกัน

ปัญหาอย่างเดียวที่ Amazon ยังต้องคิดเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดที่เหลือของ Walmart ที่ถือว่ายังแข็งแกรงคือฐานผู้บริโภคที่มีรายได้มากที่ยังยึดแบรนด์ Walmart ไว้อย่างเหนียวแน่น สาเหตุเพราะว่า Walmart เองก็มีร้านค้าในทุกๆ 10 ไมล์ซึ่งครอบคลุมสังคมอเมริกาได้กว่า 90%  แถมยังมีบริการให้สั่งของออนไลน์แล้วมารับที่ร้านของ Walmart ได้อีกด้วย 
 

 

ภาพจาก goo.gl/RvEWNP

 

และอีกหนึ่งค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอเมริกันที่เราจะข้ามไปไม่ได้เด็ดขาดก็คือ Target ที่ขอไว้ลายศักดิ์ศรีธุรกิจค้าปลีกด้วยการเข้าซื้อกิจการ Logistic อย่าง Grand Junction ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่าย Logistic ได้กว่า 700 ราย ทำให้การเข้ามารับสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าของค้าปลีกต่างๆ เพื่อส่งไปถึงที่หมายตามที่ผู้ซื้อต้องการทำได้ง่ายกว่าลงทุนระบบขนส่งเอง

งานนี้ก็ไม่ต้องบอกเลยว่าเป้าหมายหนึ่งเดียวของ Target คือการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นธุรกิจที่ตอบรับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคที่เน้นความสะดวกสบายมากขึ้น โดยลูกค้าของ Target สามารถใช้บริการ Same-Day Delivery หรือการจัดส่งสินค้าให้ทันที ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องยุ่งยากกับการขนสินค้ากลับบ้านเองอีกต่อไป

 

งานนี้ก็ต้องตามดูกันเป็นซีรีย์ยาวๆ ว่าศึกการค้าในตลาดอเมริกาที่บางรายได้กระจุยกระจายไปแล้วที่ยังพอมีแรงสู้ก็พยายามงัดกลยุทธ์สู้กับตลาดอีคอมเมิร์ชอย่างสุดฤทธิ์ ต่อจากนี้จะมีจุดเปลี่ยนตรงไหนที่สำคัญที่จะทำให้เรื่องนี้เดินหน้าแบบม้วนเดียวจบหรือบางทีอาจจะมีหักมุมแบบคาดไม่ถึงก็ได้ ต้องลองติดตามกันดู

 

สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S