CLMV ตลาดใหม่ของ SMEs ไทย

การรวมตัวของ 10 ประเทศสมาชิกในภูมิภาคอาเซียน (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สหภาพเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา บรูไน สิงคโปร์ และ ไทย) เพื่อก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี 2558 จะส่งผลให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วม (Single Market and Production Base) ซึ่งมีประชากรรวมกว่า 600 ล้านคน และกลายเป็นตลาด ที่มีความสำคัญและน่าจับตามองสำหรับนักธุรกิจจากต่างชาติและอาเซียนด้วยกัน เอง

โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่เรียกว่า CLMV (กัมพูชา ลาว สหภาพเมียนมาร์ และเวียดนาม) ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีอย่างต่อเนื่อง เป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่คงความอุดมสมบูรณ์ ทั้งป่าไม้ ประมง แร่ธาตุ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และเป็นแหล่งแรงงานวัยหนุ่มสาวราคาถูก กลุ่มประเทศเหล่านี้จึงเป็นทั้งแหล่งผลิตและตลาดใหม่ที่น่าสนใจของภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย เห็นได้จากปี 2554 ประเทศไทยทำการค้าการลงทุนกับกลุ่มประเทศ CLMV ในอัตราการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญการเปิดเสรีและการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจรวมถึงสิทธิประโยชน์ทาง การค้าการลงทุน ที่มีมากขึ้นจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ขณะที่สภาพสังคมวัฒนธรรมและปัจจัยแวดล้อมที่มีความใกล้เคียงกับประเทศไทย จึงเป็นโอกาสในการขยายตลาดการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการ SMEs ไทย

จากความสำคัญของกลุ่มประเทศ CLMV นี้เอง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ทำการศึกษาภายใต้กิจกรรมการจัดทำแผนที่การตลาดสำหรับ SMEs สู่ตลาดอาเซียน (ASEAN Niche Market Mapping) เพื่อเป็นฐานข้อมูลองค์ความรู้เผยแพร่ให้ SMEs ไทย ได้รับรู้ถึงศักยภาพโอกาสและลู่ทางขยายการค้าการลงทุน และความเป็นไปได้ในการขยายตลาดเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านที่ถือเป็นมิตรสนิท ของไทย โดยมีการแสดงผลการศึกษาของแต่ละประเทศ ที่ระบุถึงเมืองที่มีศักยภาพ สาขาธุรกิจเป้าหมาย รวมถึงช่องทาง โอกาส กระบวนการเข้าสู่ตลาด และยุทธศาสตร์การตลาดที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบ การ SMEs ซึ่งในครั้งนี้ขอนำเสนอผลการศึกษาของสหภาพเมียนมาร์

สหภาพเมียนมาร์ : นับเป็นประเทศเดียวในกลุ่ม CLMV ที่ไทยเสีย ดุลการค้า โดยในปี 2554 ไทยเสียดุลการค้าให้สหภาพเมียนมาร์ถึง 13,848.29 ล้านบาท โดยสินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากสหภาพเมียนมาร์ และเป็นเหตุให้เสียดุลการค้าคือ ก๊าซธรรมชาติ แต่เมื่อพิจารณาถึงโอกาสของผู้ประกอบการ SMEs ไทยในการขยายตลาดการค้าการลงทุนแล้ว จะเห็นว่าสหภาพเมียนมาร์เป็นประเทศที่มีประชากรมาก และยังไม่สามารถผลิตปัจจัยสี่ได้พอเพียง ขณะที่สภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะการนับถือศาสนาพุทธ วิถีชีวิต ความเชื่อ ประเพณี คล้ายคลึงกับประเทศไทย และเป็นจุดร่วมสำคัญที่สร้างโอกาสทางการตลาดให้กับสินค้าไทย ซึ่งชาวพม่ามีค่านิยมในการบริโภคสินค้าที่ยึดติดกับตราสินค้าโดยเฉพาะตราสิน ค้าไทย ที่ชาวพม่ารับรู้และเชื่อมั่นว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี

เมืองที่มีศักยภาพทางการค้าสำหรับ SMEs ไทย ได้แก่ เมืองย่างกุ้ง เมืองมัณฑะเลย์ และเมืองเมียวดี ทั้งนี้โอกาสของสินค้าไทยในแต่ละเมืองเป้าหมาย พบว่า เมืองย่างกุ้ง สินค้าที่มีศักยภาพคือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง กลุ่มสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ และกลุ่มสินค้าด้านบริการสุขภาพ เมืองมัณฑะเลย์ สินค้าที่มีศักยภาพ ได้แก่ กลุ่มสินค้าเกษตรและเครื่องจักรกลการเกษตร กลุ่มสินค้าวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง และกลุ่มสินค้าด้านบริการสุขภาพ เมืองเมียวดี ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้า เกษตรและเครื่องจักรกลการเกษตร กลุ่มสินค้าวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้าง และกลุ่มสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่

สำหรับช่องทางการเข้าสู่ตลาดพม่าของ SMEs ไทยนั้น ส่วนใหญ่จะเป็น การส่งออกทางอ้อม ส่งออกทางตรง และธุรกิจแบบแฟรนไชส์ โดยในเบื้องต้นธุรกิจที่ง่ายสำหรับการเข้าสู่ตลาดสหภาพเมียนมาร์ คือ การทำธุรกิจประเภทซื้อมาขายไป โดยการเป็น Trader สั่งซื้อสินค้าจาก Supplier และขายให้ตัวแทนชาวสหภาพเมียนมาร์ ส่วนธุรกิจต่อเนื่อง เช่น ลอจิสติกส์ ควรมีลักษณะเป็นธุรกิจที่ต่อเนื่องจากธุรกิจการค้า และนี่คือตลาดแรกของกลุ่มประเทศที่เรียกว่าเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงของไทย คราวหน้ามาพบกับเวียดนาม ลาว กัมพูชา อีกกลุ่มตลาดที่เป็นโอกาสสำหรับ SMEs ไทย สำหรับผู้สนใจรายละเอียดผลการศึกษา สามารถติดตามได้ที่ www.sme.go.th