ร้านเซียรส์และ Kmart กว่า 1 ใน 4 จากทั้งหมด 425 แห่งที่ “เอ็ดเวิร์ด แลมเพิร์ต” อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานของ Sears พยายามกอบกู้ไว้จากการล้มละลายนั้น บางแห่งได้ปิดตัวลงแล้ว บางแห่งก็กำลังจะปิดตัวลง แต่จากการให้ข้อมูลของผู้ที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกันนี้ก็พบว่าสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่ปรากฏรายละเอียดที่แน่ชัดนัก

ภาพจาก bit.ly/2psyYri
 

บริษัทเซียรส์ ดำเนินกิจการมาอย่างยาวนานในฐานะร้านค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา เน้นขายของใช้ในบ้านและอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่แล้วกิจการก็ดูท่าว่าจะมาถึงขาลงเพราะมีคู่แข่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นและการก้าวเข้ามาจับตลาดออนไลน์ และหลังจากที่ยอดขายลดลง ร้านเริ่มปิดตัวลงเรื่อยๆ ผู้บริหารของกลุ่มธุรกิจเซียรส์ และเคมาร์ท จึงได้ยื่นฟ้องเพื่อป้องกันการล้มละลายในเดือนตุลาคม ปี 2018 และแลมเพิร์ต ก็ได้เข้ามาให้การช่วยเหลืออีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยการซื้อกิจการร้านค้าของเซียรส์กว่า 223 แห่ง และร้านค้าของ Kmart กว่า 202 แห่ง และอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือการล้มละลายอีกกว่า 5.2 พันล้านดอลลาร์ แล้วร้านที่แลมเพิร์ตได้มาไว้ในครอบครองนั้นก็เรียกได้ว่าอยู่ท่ามกลางความไม่หยุดนิ่งเลยทีเดียว โดยกว่าครึ่งสามารถทำกำไรได้จากการซื้อขาย , กว่า 90% บริหารจัดการเอง และที่เหลือก็ปล่อยให้เช่า (ในรูปแบบของแฟรนไชส์)
 

แต่แล้วขาลงของกลุ่มธุรกิจนี้ก็มาถึงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย  โดยในเดือนสิงหาคมนี้มีรายงานว่าร้านค้าของเซียรส์ 21 ร้าน และเคมาร์ทอีก 5 ร้านจะปิดตัวลงในฤดูใบไม้ร่วง และร้านเคมาร์ทอีกเกือบ 100 ร้านจะทยอยปิดตัวลงภายในสิ้นปี ส่วนหนึ่งเกิดจากการหมดสัญญาเช่า และผู้เช่าก็จะไม่ต่อสัญญาเนื่องด้วยร้านนั้นๆ ไม่สามารถทำกำไรได้อีกต่อไป

ภาพจาก bit.ly/2VMM7aN

 

นอกเหนือไปจากนั้น บริษัท Transform Holdco ซึ่งเป็นบริษัทที่แลมเพิร์ตก่อตั้งขึ้นในภายหลังนั้น ยังมีรายได้น้อยกว่าที่ทางธุรกิจ Sears ได้คาดการณ์เอาไว้ และจากเอกสารของศาลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมาระบุว่าบริษัทเซียรส์ได้รับการอนุมัติจากศาลสำหรับแผนการชำระหนี้ โดยผู้พิพากษา โรเบิร์ต เดรน ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่าหนี้นั้นจะเหลือเป็นจำนวน 104.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3179.12 ล้านบาท)

 

แต่แล้วบริษัทนี้ยังได้ฟ้องร้องแลมเพิร์ต , กองทุนของแลมเพิร์ต , บริษัท ESL Investments Inc. และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ โทษฐานที่พวกเขาก่อให้เกิดความเสียหายแก่เหล่าผู้ค้าปลีกเป็นมูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแลมเพิร์ตปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีนี้ แต่เขาได้บอกกับทางสำนักข่าว Wall Street ว่าเขามีแผนที่จะขายหรือปล่อยให้เช่าร้านค้าที่เหลือบางแห่งเพื่อมุ่งไปร้านเล็กๆ ที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า , เครื่องมือต่างๆ และสินค้าอื่น ๆ

ภาพจาก bit.ly/2MiM1EL

 

ต่อมาในเดือนพฤษภาคม เซียรส์ได้เปิดร้านค้าเล็กๆ อีก 3 แห่งภายใต้ชื่อ “Sears Home & Life” ทีมีขนาดประมาณ 10,000 – 15,000 ตารางฟุต ซึ่งมีสินค้าหลายประเภทตั้งแต่ เครื่องใช้ไฟฟ้า , ที่นอน , อุปกรณ์ทำสวน ฯลฯ และในขณะเดียวกัน เซียรส์ก็ยังมีร้านขนาด 150,000 ตารางฟุตที่ขายเครื่องนุ่งห่ม , เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย

ภาพจาก bit.ly/2VKvz3d

 

แต่แล้วร้านโฮมทาวน์สโตร์นี้ที่ส่วนมากมีรายได้จากผู้แทนจำหน่ายและแฟรนไชส์ก็สูญเสียเงินไปกว่า 58.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1773 ล้านบาท) ซึ่งการขาดทุนในการลงทุนครั้งล่าสุดนี้ถือว่าเป็นการขาดทุนเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยแลมเพิร์ตตั้งความหวังว่า ยอดขายจะกระเตื้องขึ้นจากการรวมธุรกิจกับกลุ่มธุรกิจของเซียรส์ และจากข้อมูลของบริษัท TraQline  ซึ่งเป็นบริษัทที่สำรวจทางการตลาดก็ระบุอีกว่าส่วนแบ่งทางการตลาดในการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของเซียรส์ตกลงไปกว่า 11% ในเดือนมิถุนายน และจนถึงตอนนี้เซียรส์ยังพยายามเป็นอย่างมากที่จะเอาชนะคู่แข่งขันในท้องตลาดในระหว่างที่ยื่นล้มละลายต่อศาล

ภาพจาก bit.ly/2MJBwt9

 

แต่ถึงแม้สถานการณ์ทางฝั่งอเมริกาจะเรียกได้ว่าย่ำแย่ แต่เซียรส์ทางฝั่งประเทศอังกฤษก็ยังขายดี เต็มไปด้วยลูกค้าที่อุดหนุนอย่างเนืองแน่น โดยจากการให้ข้อมูลของ Rosemarie Lauria ลูกค้าที่เพิ่งจะเข้าไปซื้อน้ำยาล้างจานในร้านของเซียรส์ที่ได้บอกว่าถึงแม้ว่าเธอจะเห็นว่ามีร้านของ Kenmore อยู่ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เธอก็จะยังเลือกซื้อสินค้าของเซียรส์อยู่ดี

 

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน