มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่คนต่างรุ่น ต่างวัย จะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน อันที่จริงมันก็สมเหตุสมผลแล้วเพราะคนเหล่านั้นเติบโตมาในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่แตกต่างกัน จึงทำให้มีพฤติกรรมและความคิดที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งนั่นก็ส่งผลไปถึงการทำการตลาดที่ต้องปรับกลยุทธ์ไปตามเป้าหมายที่มีความหลากหลายนี้ และมันก็โชคดีที่มีจุดเชื่อมกันอยู่ 2-3 อย่างในการสื่อสารกับคนทุกรุ่น ซึ่งนั่นทำให้มั่นใจได้ว่าการสื่อสารการตลาดนั้นๆ จะเข้ากลุ่มเป้าหมายที่มีหลากหลายวัยได้มากขึ้น

 

ความผิดพลาดอย่างหนึ่งของนักการตลาดที่มักออกแบบกลยุทธ์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มถึงกลุ่มเป้าหมายได้เพียงแค่กลุ่มเล็กๆ ทั้งที่ความจริงแล้วมันสามารถที่จะทำให้การสื่อสารนั้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายได้ และหลักการ 3 ข้อนี้จะสามารถช่วยให้การสื่อสารนั้นๆ มีประสิทธิ์ภาพยิ่งขึ้นได้
 

ภาพจาก bit.ly/2Wdzztt

 

แน่นอนว่าลูกค้าต้องการที่จะเห็นว่าการตลาดนั้นๆ สื่อสารออกมาถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา และคุณก็ต้องแน่ใจว่าด้วยว่าการสื่อสารของคุณนั้นมีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าของคุณอย่างครอบคลุม ยกตัวอย่างเช่น แคมเปญหนึ่งของโตโยต้าในปี 2018 ที่ทำขึ้นเพื่อโปรโมทรถยนต์รุ่น Camry ซึ่งโตโยต้าทำเป็นหนังสั้นทั้งหมด 8 เรื่อง โดยที่แต่ละเรื่องแสดงออกถึงผู้คนต่างเชื้อชาติ ต่างวิถีชีวิต

ภาพจาก bit.ly/2BJ7Rew

หรือแบรนด์เครื่องสำอางค์สัญชาติอเมริกันอย่าง Cover girl ที่ได้เลือก “Maye Musk” มาเป็นแบรนด์เอมบาสซาเดอร์ ซึ่งในตอนที่ได้รับเลือกนั้นเธอมีอายุกว่า 69 ปี (ปัจจุบันอายุ 71 ปี) และนั่นทำให้เธอเป็นแบรนด์เอมบาสซาเดอร์ที่อายุมากที่สุดไปโดยปริยาย โดยการเคลื่อนไหวเล็กๆ นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการเครื่องสำอางให้มีความหลากหลายมากขึ้น

Maye Musk
ภาพจาก bit.ly/2pTiSaM

 

ลูกค้าของคุณจะสังเกตเห็นได้หากแคมเปญของคุณมีการรวมเอาความหลากหลายเข้าด้วยกัน และลูกค้าในกลุ่มมินเลเนียลจะชอบยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพวกเขาได้เห็นตัวตนของพวกเขาถูกสะท้อนออกมาจากการสื่อสารการตลาดของคุณ ดังนั้นแล้วแทนที่คุณจะสื่อสารโดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเป้าหมายเพียงกลุ่มเดียว ก็ควรจะลองใส่ความหลากหลายเข้าไปในการสื่อสารนั้นๆ เพื่อให้คนหลายกลุ่มได้หันมาสนใจมากขึ้นดังในตัวอย่างที่ได้ยกขึ้นมาข้างต้นนี้

 

ภาพจาก pixabay.com

 

คนในยุคปัจจุบันส่วนมากได้รับอิทธิพลจากช่องทางสื่ออินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก นั่นจึงเหตุผลที่เหล่านักการตลาดส่วนมากจะโฟกัสไปที่การทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียเหล่านี้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งน่าเสียดายที่พวกเขาอาจจะเพิกเฉยต่อคนรุ่นอื่นๆ ไปบ้าง แต่ถึงจะอย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้อินเทอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงคนได้ทุกช่วงวัยแล้ว

ภาพจาก bit.ly/346t6Dv

 

ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มคนในวัย Baby Boomers ซึ่งเป็นวัยที่เปิดรับเทคโนโลยีค่อนข้างช้า แต่การเปิดรับเทคโนโลยีช้า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พบคนเหล่านี้บนสื่อสังคมออนไลน์โดยจากการสำรวจของ Pew Research พบว่าร้อยละ 69 ของผู้ใหญ่อายุ 50-64 ปี ใช้โซเชียลมีเดียอย่างน้อยหนึ่งช่องทาง และพวกเขายังมีแนวโน้มที่จะแบ่งปันเนื้อหาผ่าน Facebook มากกว่า 19% นั่นคือข้อเท็จจริงเกี่ยวพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของคนในรุ่น Baby Boomers และในขณะเดียวกันยังพบอีกว่ากลุ่ม Gen X (กลุ่มคนที่อายุระหว่าง 40-49 ปี) ยังชอบการเยี่ยมชมร้านค้าออนไลน์ , เช็คโซเชียลมีเดีย และดูรีวิวสินค้าที่พวกเขาจะซื้อผ่านทางอินเทอร์เน็ต

 

นั่นจึงเป็นเหตุที่ไม่ควรคิดว่าการสื่อสารจะได้ผลเมื่อใช้วิธีสื่อสารกับคนยุค Millenials โดยผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และสื่อสารกับคนในยุค Babyboomers โดยใช้สื่อสิ่งพิมพ์ แต่ควรจะคิดสารที่สามารถดึงดูดคนที่หลากหลายในทุกแพลตฟอร์มที่ทีมการตลาดของคุณใช้จะได้ผลดีกว่า

 

Geoff Gross ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Medical Guardian
ภาพจาก bit.ly/341m6HW

 

เมื่อคุณหยุดคาดเดาพฤติกรรมการสื่อสารของกลุ่มเป้าหมาย และใส่ใจสำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ถูกต้อง จะสามารถทำให้คุณสื่อสารไปยังคนหลายรุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยสิ่งสำคัญคือต้องไม่ปล่อยให้สมมุติฐานแทรกซึมเข้าไปในการส่งข้อความของคุณ โดย Geoff Gross ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Medical Guardian ได้เขียนถึงประเด็นนี้ในบล็อกของเขาว่า “อย่าวาดภาพผู้สูงอายุในแง่ลบหรือกล่าวถึงคนกลุ่มนี้ว่าเป็นพวกที่ทำอะไรไม่ถูก ในทางกลับกัน คุณควรจะสื่อประเด็นออกไปว่าผลิตภัณฑ์ของคุณนั้นมีส่วนช่วยให้ผู้สูงอายุมีความเป็นอิสระและปรับปรุงสุขภาพของพวกเขาได้อย่างไร”  

ภาพจาก The Intern

และในทางที่คล้ายคลึงกัน ก็ควรจะเลิกสื่อสารไปในทำนองที่ว่า กลุ่มคนรุ่น Millenials นั้นเห็นแก่ตัว เพราะอันที่จริงแล้วคนกลุ่มมีความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่พอสมควร และพวกเขาค่อนข้างที่จะกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปของสังคมโดยรอบ 

 

ในทำนองเดียวกัน , คนใน Gen Z (เด็กรุ่นหลังที่เกิดหลังปี 2540) ก็ถูกเข้าใจผิดว่ามีพฤติกรรมการซื้อผ่านสื่อออนไลน์มากกว่าผ่านหน้าร้าน ทั้งที่มีข้อมูลออกมาระบุแล้วว่ากว่า 98% ของคนยุคหลังนี้ยังนิยมซื้อของผ่านหน้าร้านกันอยู่ ดังนั้นแล้วหากจะสื่อสารตลาดก็ควรจะเน้นทั้งทางหน้าร้านและทางออนไลน์ควบคู่กันไปด้วย และในทางกลับกัน Baby Boomers ก็ไม่ได้มีการใช้โซเชียลมีเดียน้อยไปกว่าคนยุคอื่นเลย ดังนั้นแล้ว จึงควรศึกษาพฤติกรรมและข้อเท็จของกลุ่มคนในแต่ละยุคให้ถูกต้องด้วย ถ้าหากเกิดสื่อสารเกี่ยวกับคนในวัยนั้นๆ อย่างไม่ถูกต้องก็อาจทำให้คนเหล่านั้นเกิดความไม่พอใจ และการสื่อสารนั้นอาจจะล้มเหลวอีกด้วย

ภาพจาก bit.ly/2pfNwLp

 

ทั้งหมดนี้ก็พอจะสรุปได้ว่าการสื่อสารกับคนในวัยต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพนั้นควรทำสารที่สื่อถึงความหลากหลายเพื่อจะได้เข้าถึงกลุ่มคนที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มหมายให้ถูกต้อง ไม่คาดเดาไปเอง ทั้งในแง่ของช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายนิยมใช้ และลักษณะโดยรวมของกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังควรจะสื่อสารให้ถูกใจกลุ่มคนในยุคต่างๆ อย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีกลุ่มเป้าหมายไหนที่มีความสำคัญไปมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ด้วย เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยให้การสื่อสารเพื่อการตลาดนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นแล้ว

 

ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน