เว็บไซต์ Entrepreneur.com ได้ทำการจัดอันดับธุรกิจแฟรนไชส์ในอเมริกา 500 แบรนด์มาเป็นเวลา 41 ปีมาแล้ว โดยพิจารณาจากค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ การลงทุน ค่าสิทธิ ขนาด อัตราการเติบโต การสนับสนุนแฟรนไชส์ซี การอบรม ความพร้อมทางการเงิน และความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน โดยมีธุรกิจแฟรนไชส์ใหม่ๆ สลับสับเปลี่ยนอันดับในทุกๆ ปี
 

วันนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com ขอนำเสนอ 10 อันดับธุรกิจแฟรนไชส์อเมริกาที่ดีที่สุดในปี 2020 ตามการจัดอันดับของเว็บไซต์ Entrepreneur.com มาดูกันว่ามีแบรนด์แฟรนไชส์ไหนติด 10 อันดับแรกในแฟรนไชส์ 500 กันบ้าง 
 

ภาพจาก bit.ly/38Oiqvh

Dunkin’ ถูกจัดอันดับในบรรดาแฟรนไชส์ 500 มาเป็นอันดับ 1 ในปี 2020 โดยเว็บไซต์ Entrepreneur.com เริ่มต้นทำแฟรนไชส์ในปี 1955 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 12,957 แห่งทั่วโลก ค่าใช้จ่ายในการซื้อแฟรนไชส์เริ่มต้น 395,500 - 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
 

Dunkin’ เป็นแฟรนไชส์ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจาตัดคำว่า “โดนัท” ออก เพื่อไม่จำกัดว่าจะขายโดนัทอย่างเดียว สามารถขายสินค้าได้หลากหลายภายในร้าน จึงทำให้รายได้และยอดขายเติบโต 

2.Taco Bell

 

ภาพจาก bit.ly/2tXZ2gF

Taco Bell แฟรนไชส์ฟาสต์ฟู้ดที่ถูกจัดอันดับแฟรนไชส์ 500 มาเป็นอันดับที่ 2 ในปี 2020 เริ่มต้นทำแฟรนไชส์ในปี 2507 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 7,136 แห่ง ค่าใช้จ่ายในการลงทุนแฟรนไชส์เริ่มต้น 525,500 –
2.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
 

โดยทศวรรษที่ผ่านมา Taco Bell ได้รับการจัดอันดับที่ 45 ของ Franchise 500 ปี 2020 เป็นอันดับสอง เนื่องจากการเติบโตยอดขายเพิ่มขึ้น 6% คิดเป็นมูลค่า 11 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2018 และในไตรมาสที่ 3 ของปี 2019 คาดว่าจะเพิ่มยอดขายสาขาเดิม (5 เปอร์เซ็นต์) และโดยรวมยอดขาย (8 เปอร์เซ็นต์) อีกครั้ง

3.McDonald’s
 

ภาพจาก bit.ly/2tU0GQo

McDonald’s มาเป็นอันดับที่ 3 ของแฟรนไชส์ 500 เริ่มต้นทำแฟรนไชส์ในปี 1955 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 38,108 แห่ง ค่าใช้จ่ายในการลงทุนแฟรนไชส์เริ่มต้น 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นแบรนด์แฟรนไชส์ที่ได้ทุ่มทุนนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการบริการแก่ลูกค้า มีความรวดเร็ว สะดวกสบายมากขึ้น 

4.Sonic Drive-In

ภาพจาก bit.ly/2Ry1Dan

Sonic Drive-In แฟรนไชส์ฟาสต์ฟู้ดมาเป็นอันดับ 4 ของแฟรนไชส์ 500 เริ่มต้นทำแฟรนไชส์ในปี 1959 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 3,600 แห่ง ค่าใช้จ่ายในการลงทุนแฟรนไชส์เริ่มต้น 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
 

เป็นแฟรนไชส์ที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเมนูใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง สามารถสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชั่นก็ได้ โดยในปี 2561 ได้ลงทุนกว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาธุรกิจ เป็นแฟรนไชส์ในตระกูลเดียวกันกับ Arby's และ Buffalo Wild Wings ในปี 2020 บริษัทกำลังเตรียมทำการเปลี่ยนแปลงโลโก้ใหม่ เพื่อการันตีได้ว่าจะไม่หยุดนิ่งกับที่ 
 

 

ภาพจาก bit.ly/2RwyrjI

เป็นแฟรนไชส์ให้บริการไปรษณีย์ ธุรกิจ การพิมพ์ และบริการด้านการสื่อสาร ก่อตั้งขึ้นและขยายธุรกิจสู่ระบบแฟรนไชส์ในปี 1980 ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ถือเป็นธุรกิจให้บริการที่ได้รับความนิยมของธุรกิจขนาดเล็ก 
 

ปี 2020 ถูกจัดอันดับที่ 5 ของแฟรนไชส์ 500 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 5,166 แห่ง ค่าใช้จ่ายในการลงทุนแฟรนไชส์เริ่มต้น  138,400 ดอลลาร์สหรัฐ - 470,000 ดอลลาร์สหรัฐ 

6.Ace Hardware

ภาพจาก bit.ly/37yNbV2

ACE HARDWARE แฟรนไชส์ร้านฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน ก่อตั้งในปี 1924 โดย 4 เจ้าของร้านฮาร์ดแวร์ อย่าง Richard Hesse, E. Gunnard Lindquist, Franke Burke and Oscar Fisher ได้ร่วมลงทุนซื้อสินค้าจำมากเพื่อนำมาขายเก็งกำไร ปี 2020 ถูกจัดอันดับที่ 6 ของแฟรนไชส์ 500 เริ่มต้นทำแฟรนไชส์ในปี 1976 มีจำนวนสาขาทั้งหมด  5,312 แห่ง 
 

ค่าใช้จ่ายในการลงทุนแฟรนไชส์เริ่มต้น 286,000 ดอลลาร์สหรัฐ - 2.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Ace Hardware มียอดขายมากกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอดขายออนไลน์ของ Ace ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2019 เพิ่มขึ้น 81% หลังจากบริษัทเริ่มเสนอความสามารถในการส่งคำสั่งซื้อที่ร้านค้าใกล้บ้าน
 

7.Planet Fitness
 

ภาพจาก bit.ly/3aP86oX

Planet Fitness แฟรนไชส์ฟิตเนสถูกจัดมาเป็นอันดับที่ 7 ของแฟรนไชส์ 500 เริ่มต้นทำแฟรนไชส์ในปี 2003 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 1,859 แห่ง ค่าใช้ในการลงทุนแฟรนไชส์เริ่มต้น 1.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - 4.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
 

รูปแบบการให้บริการลูกค้า Planet Fitness คิดค่าสมาชิกพื้นฐานเพียง  10 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ของชาวอเมริกันที่ไม่มีสมาชิกสถานที่ออกกำลังกาย จนถึงขณะนี้กลยุทธ์ดังกล่าวได้ผลเนื่องจากสมาชิกของ Planet Fitness เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจาก 7 ล้านคนเป็น 14 ล้านคน 
 

ภาพจาก bit.ly/2RuI4zB

อีกหนึ่งแฟรนไชส์แซนด์วิชที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นนับแต่ก่อตั้ง โดยก่อตั้งขึ้นในปี 1956 และเปิดขาย ธุรกิจแฟรนไชส์ในปี 1987 ถูกจัดอันดับมาเป็นที่ 8 ของแฟรนไชส์ 500 ปัจจุบันมีจำนวนสาขาแฟรนไชส์ในสหรัฐฯ 1,592 แห่ง  บริษัทแม่บริหารเองมากกว่า 58 สาขา โดยตั้งเป้าหมายขยายสาขาให้ถึง 2,000 สาขาภายในปี 2020 
 

ถือเป็นครั้งที่สองของ Jersey Mike’s Subs ติดอันดับ 1 ใน 10 อันดับจากแฟรนไชส์ 500 ของสหรัฐอเมริกา ค่าใช้จ่ายในการลงทุนแฟรนไชส์เริ่มต้น 237,400 ดอลลาร์สหรัฐ - 766,970 ดอลลาร์สหรัฐ 

9.Culver's
 

ภาพจาก bit.ly/38Iksgt

แฟรนไชส์ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดขายเบอร์เกอร์ รวมถึงคัสตาร์ด ไอศกรีม ที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอมริกา ด้วยรสชาติอร่อย ก่อตั้งในปี 1984 หลังจากนั้นในปี 1988 ก็ขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ ปัจจุบันมีจำนวน 680 สาขาในอเมริกา โดยในปี 2017 สามารถทำรายได้กว่า 1.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก้าวขึ้นมาติดอันดับ 9 แบรนด์แฟรนไชส์ 500 อเมริกาในปี 2020 ค่าใช้จ่ายในการลงทุนแฟรนไชส์เริ่มต้น 1.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ -  4.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
 

10.Pizza Hut
 

ภาพจาก bit.ly/2tUMbMl

Pizza Hut ติดอันดับที่ 10 จากแฟรนไชส์ 500 เริ่มต้นทำแฟรนไชส์ในปี 1959 มีจำนวนสาขาทั้งหมด 17,176 แห่งทั่วโลก ค่าใช้จ่ายในการลงทุนแฟรนไชส์เริ่มต้น 357,000 ดอลลาร์สหรัฐ - 2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  แม้ว่า Pizza Hut ประกาศในเดือนสิงหาคม 2019 ว่าจะปิดร้านอาหารในสหรัฐอเมริกากว่า 500 แห่ง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาก็เปิดแฟรนไชส์ในต่างประเทศอีกหลายพันแห่ง ดังนั้น แม้ว่าตลาดในอเมริกาจะเริ่มอิ่มตัว แต่ธุรกิจแฟรนไชส์ในต่างประเทศมีการเติบโตต่อเนื่อง 
 

ทั้งหมดเป็นแบรนด์แฟรนไชส์ในสหรัฐอเมริกา ที่ถูกจัดอันดับ 1 ใน 10 ธุรกิจแฟรนไชส์ที่ดีที่สุด ด้วยจำนวนสาขา การลงทุน การสนับสนุนแฟรนไชส์ ความมั่นคงทางการเงินของบริษัท โดยปี 2020 แฟรนไชส์ Dunkin’ มีการเติบโตและยอดขายดีที่สุด 
 

คุณผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 

 

อ่านบทความอื่นๆ จากไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ www.thaifranchisecenter.com/document

เลือกซื้อแฟรนไชส์ไทยขายดี เปิดร้าน www.thaifranchisecenter.com/directory/index.php

รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter

 

อ้างอิงข้อมูล

 

นักเขียน

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)