บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
1.8K
4 นาที
5 มีนาคม 2563
3 นิสัยที่ช่วยให้คุณเป็นเศรษฐีอายุ 28 ปี


 
คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อผม (Erik Bergman) หรือธุรกิจของผม (Catena Media) แต่คนส่วนใหญ่มักบอกว่า ผมมีทุกอย่างแล้วนี่
 
เพื่อนสนิทของผมกับตัวผมได้เปิดตัวธุรกิจการตลาดในเครือที่เป็นธุรกิจร่วมลงทุนกัน หลังจากผ่านไปไม่กี่ปีบริษัทของพวกเราได้นำบริษัทไปเข้าตลาดหุ้นที่ Stockholm Nasdaq Stock Exchange ด้วยมูลค่ากว่า $200 ล้าน วันนี้เป็นวันครบรอบอายุ 28 ปีของผม และตอนนี้ผมก็กลายเป็นเศรษฐีแล้ว
 
ผมไม่ใช่คนพื้นเมือง ผมไม่ได้มีชีวิตสวยหรู ความจริงแล้วผมเคยได้เขียนประสบการณ์ความผิดพลาดหลายอย่างตอนที่ผมเป็นผู้ประกอบการอยู่ และอิทธิพลตรงนี้ทำให้ผมกลายเป็นตัวผมเองและเป็นมืออาชีพมากขึ้น เช่นกันผมเข้าใจว่าการตัดสินใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป
 
อย่างไรก็ดีผมไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนกว่าจะมีวันนี้ได้ ผมได้พัฒนานิสัยของตัวเองให้แข็งแกร่งเพื่อที่จะทำให้ผมประสบความสำเร็จได้ นี่เป็น 3 นิสัยของผมที่คุณสามารถนำเอาไปปฏิบัติได้
 
1. สนุกกับเป้าหมายต่าง ๆ ที่คุณได้ทำอยู่


Erik Bergman
ภาพจาก bit.ly/2PQIyim
 
มันมีหลายร้อยกลยุทธ์และมีหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนที่เขียนเกี่ยวกับเป้าหมาย มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่มีทั้งประสบการณ์และความรู้มากกว่าตัวผม อย่างไรก็ดีผมกลับประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ผมได้วางเอาไว้หลายอย่าง และความสำเร็จต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพราะว่าผมได้ยึดตามกฎระเบียบหรือเปรียบเทียบเป็นนาทีต่อนาทีหรอกครับ ผมเพียงแค่รู้สึกสนุกต่อการทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
 
หมายความว่าอะไร?
 
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักโฟกัสไปที่เป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความสำเร็จในธุรกิจของพวกเขา โดยตั้งเป้าหมายในเรื่องผลตอบแทนหรืออื่น ๆ ที่พวกเขาต้องใช้ต้นทุนในการเข้าถึง ผลลัพธ์ที่ตามมานี้ ทำให้พวกเขาหาข้ออ้างในการล้มเลิกแนวคิดพวกนี้ และยอมทิ้งตัวตนและความเป็นมืออาชีพในการเข้าถึงเป้าหมายตรงนี้
 
ในขณะเดียวกันมันมีปัจจัยดี ๆ หลายอย่างที่ทำให้ผู้ประกอบการหลายคนประสบความสำเร็จในการนำไปใช้ ผมทำในสิ่งที่แตกต่าง ผมมักชอบตั้งเป้าหมายและสนุกกับเป้าหมายที่ผมกำลังทำอยู่
 
ตัวอย่างเช่น ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2019 ผมตัดสินใจว่า ผมต้องการสร้างสังคมที่เติบโตมากขึ้น ผมจึงเปิดองค์กรใหม่และสร้าง Podcast ขึ้นมา ผมรู้ว่าผมมีสังคมที่มากขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้ผมรู้จักบริษัทอื่น ๆ และมีกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ปัญหาเดียวที่ผมมีอยู่ก็คือ ผมไม่ชอบใช้ Social Media
 
ด้วยเหตุนี้ผมจึงรู้ว่า หากผมต้องการสนุกกับการที่มีสังคมเติบโตมากขึ้น ผมจึงต้องทำทุกอย่างโดยผมเริ่มคิดสูตรเอาไว้ดังนี้คือ :
  1. ผมจะต้องสนุก
  2. ผมจะต้องเข้าถึงเป้าหมายเพื่อให้สังคมเติบโตขึ้นได้
 
ผมเริ่มใช้ Twitter ผมพยายามติดตามผู้นำทางความคิด ทำการสอบถาม ทำการดูโพสต์อื่น ๆ และโดยทั่วไปจะต้องทำการทวีตข้อความเท่าที่จำเป็น หลังจากไม่กี่สัปดาห์ผ่านไป ผมเข้าใจแล้วว่า ผมไม่ได้ชอบแพลตฟอร์มที่เป็นอยู่ ในขณะเดียวกันก็มีข่าวดีและมีเทรนอะไรใหม่ ๆ เข้ามา ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนักหากผมไม่สนุกกับการพูดคุยกับผู้คนเกี่ยวกับแนวคิดและหัวข้อต่าง ๆ
นี่ทำให้ผมเข้าถึง Facebook
 
พวกเราได้เปิดตัวกลุ่ม Facebook สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการแชร์แนวคิดและพูดคุยกันในหัวข้อต่าง ๆ พร้อมกับมีสมาชิกที่มีชื่อเสียงเข้ามาก็คือ Angelica กลุ่มของพวกเราเติบโตกันอย่างรวดเร็วถึง 350 คน โดยทุก ๆ วันผมก็จะใช้เวลาแชร์คอนเทนต์ แสดงความเห็นและตอบกลับโพสต์ของสมาชิกกลุ่ม
 
หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ผมเข้าใจแล้วว่า ผมไม่ได้ชอบพูดคุยกันเป็นกลุ่มแบบนี้หรอก แต่ผมมักจะชอบแชร์ความติดและบทสนทนาต่าง ๆ ผมใช้เวลากับการโพสต์และให้ความเห็นเพื่อรักษาคอนเทนต์ของกลุ่มเอาไว้ 

นี่ก็ทำให้ผมเข้าถึง Instagram


ภาพจาก freepik
 
ตอนแรกผมเองก็ไม่เข้าใจว่า Instagram มันเป็นแพลตฟอร์มที่เข้ากับผมหรือเปล่า หลังจากที่ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ผมเริ่มหาสูตรที่สามารถสร้างความสนุกขึ้นมาได้
 
ผมได้พูดคุยเชิงปัญญาเกี่ยวกับความเป็นตัวตนกับการพัฒนาไปสู่ความเป็นมืออาชีพ ผมได้แชร์รูปภาพกับวิดีโอที่ตลกและสร้างแรงบันดาลใจ ผมได้ใช้เวลากับงานเพื่อการกุศลเพื่อยกระดับการรับรู้ในสิ่งที่ผมเชื่อ และผมได้ให้เข้าร่วมมือกับเรื่องดีเป็นอย่างดี
 
ไม่เพียงแค่ผมจะสนุกไปกับ Instagram เท่านั้น แต่ผู้ติดตามของผมได้ตอบสนองในสิ่งที่ผมทำอยู่ แรงสนับสนุนที่เป็นบวกนี้ทำให้ผมลงทุนกับ Instagram มากกว่าโซเชียลแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ผมใช้อยู่
 
จนถึงตอนนี้ บัญชี Instagram ของผมเติบโตขึ้นจากยอดผู้ติดตาม 3000 มาเป็นมากกว่า 1 แสนแล้ว
 
จากการโฟกัสไปที่เป้าหมาย (Instagram) นั้น ทำให้ผมสนุกมากขึ้น ผมสามารถก้าวข้ามการเข้าถึงทางสังคมได้ หากผมโฟกัสเพียงแค่โฟกัสไปที่แพลตฟอร์มอื่น ๆ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ผมไม่ได้รู้สึกสนุกมากนัก ผมก็คงไม่มาถึงตรงจุดนี้ได้
 
2. อย่ากลัวที่เจอขอความช่วยเหลือ


ภาพจาก Associated Press
 
เป็นเรื่องแปลกที่จะขอความช่วยเหลือจากใครสักคน เหมือนกับคำแนะนำที่ตำรวจบอกว่า ดีที่สุดก็คือจะต้องขอความช่วยเหลือ แต่นี่ถือเป็นนิสัยอย่างหนึ่งที่ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับการขอความช่วยเหลือมากนัก และคุณเองก็ไม่ควรไปกลัว

หากคุณต้องการพัฒนานิสัยขอความช่วยเหลือ คุณจะต้องทำตามดังต่อไปนี้ :
 
คุณจะต้องยกย่องใครสักคนที่เราต้องการขอความช่วยเหลือ
 
หากการเลียนแบบเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง การขอความช่วยเหลือก็เริ่มตามมา ผู้ประกอบการหลายคนส่วนใหญ่หวั่นเกรงที่จะขอความช่วยเหลือเนื่องจากพวกเขาเกรงว่า จะเป็นการรบกวนพวกเขา แต่กลายเป็นว่าพวกเขาคิดผิด
เมื่อคุณต้องการให้ใครสักคนช่วยเหลือ คุณต้องคิดว่า คุณเคารพและยอมรับในทักษะ สติปัญญาและประสบการณ์ของคนนั้น พูดง่าย ๆ ก็คือ คุณจะต้องยกย่องพวกเขา ความจริงตรงนี้ทำให้การขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น
 
จะต้องดูเป็นเรื่อง ๆ หากต้องการขอความช่วยเหลือ
 
ขั้นตอนต่อไปนั้น เมื่อคุณต้องการขอความช่วยเหลือจากใครสักคน จะต้อโฟกัสไปที่เรื่องนั้น ๆ โดยเฉพาะ รายละเอียดที่คุณได้ร้องขอจะต้องเป็นรายละเอียดที่เป็นเชิงลึก
 
เริ่มต้นจะต้องถามตัวเองก่อนว่า ทำไมถึงเลือกคนนี้เข้ามาช่วยเหลือ เมื่อคุณต้องการให้ใครสักคนมาช่วยเหลือ คุณจะต้องมองไปที่ความสำคัญกับความชำนาญเป็นหลัก
 
ตัวอย่างเช่นเมื่อผมได้ตัดสินใจที่จะเริ่มทำ Podcast เกี่ยวกับโครงการปลูกฝังจิตสำนึกในเรื่องสภาพอากาศที่ Great.com ผมจะต้องค้นหาใครสักคนที่เข้าร่วมงาน ซึ่งจะต้องมีเคมีตรงกันและให้ความเคารพกัน ตอนแรกผมคิดถึงเพื่อนที่ดีคนหนึ่งชื่อ Emil Ekvardt ซึ่งเขาไม่เคยมีประสบการณ์ทำ Podcast มาก่อน แต่เขาเป็นคนหนึ่งที่สามารถพูดคุยสื่อสารได้ดี
 
เมื่อผมขอให้เขาช่วยเหลือร่วมรายการ Podcast “Becoming Great” ผมได้โฟกัสในเรื่องของทักษะกับประสบการณ์ของเขาในการเป็นนักพูด ผมได้ขอให้เขามาช่วยเหลือเพื่อการนี้เฉพาะและความสามารถของเขานั้น ผมคิดว่าเขาเป็นตัวเลือกแรกของผม เขายอมรับและพวกเราก็ทำ Podcast ด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งใน Podcast ที่ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการ
 
ทำให้พวกเขารู้สึกว่า เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้ามาช่วยเหลือคุณ
 
หากคุณต้องการพัฒนาพฤติกรรมขอความช่วยเหลือ คุณจะต้องมีทักษะในการขอความช่วยเหลือ โดย Jerry Maguire ได้เคยกล่าววลีเอาไว้ว่า “ช่วยผม แล้วผมจะช่วยคุณ” ซึ่งเป็นข้อความที่ดึงดูดใจ แต่ลองมาดูกรณีตัวอย่างที่คล้ายคลึงกันดีกว่า
ผมได้ช่วยเหลือเพื่อน ๆ เอาไว้หลายคน และประสบการณ์ก็ได้สอนผมเกี่ยวกับการขอความช่วยเหลือ
 
เพื่อนคนที่ 1 ได้นำรถบรรทุกเคลื่อนมาจอดที่โรงรถ คอยยกของและทำการบรรจุของขึ้นรถเมื่อผมมาถึงตอนเช้า ถือเป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้มีอะไรมากนัก
 
เพื่อนคนที่ 2 ไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลยเมื่อผมมาถึงแล้ว พวกเราใช้เวลาหลายวันในการแพ็คของ เคลื่อนย้ายของและสุดท้ายก็ขนข้าวของทุก ๆ อย่างขึ้นรถบรรทุก ถือเป็นประสบการณ์ที่คิดแล้วเหนื่อยและเสียเวลาไปมาก
 
ทั้งสองเหตุการณ์นี้ เพื่อนทั้งสองก็ถามคำถามเดียวกันว่า “นายช่วยข้าขนของได้ไหม?” ซึ่งพวกเขาก็ใช้ประสบการณ์ในการถามในเหตุการณ์ที่แตกต่างกันออกไป การที่ไม่มีการสื่อสารขอความช่วยเหลือที่ชัดเจนนั้น ทำให้คุณไม่สามารถคาดหวังกับผลลัพธ์ที่ออกมาได้อย่างแม่นยำ และเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่เพียงพอสำหรับคนที่อยากรู้ว่า พวกเขาต้องการอะไร
 
การขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องดี เนื่องจากพวกเขาทำให้คุณเดินหน้าถึงเป้าหมายได้ เช่นกันช่วยให้คุณเชื่อมต่อและทำรายงานข้อมูลให้กับใครสักคนที่คุณยอมรับ อย่างไรก็ดีหากคุณต้องการความช่วยเหลือ คุณจะต้องแน่ใจว่า คุณมีเรื่องราวเฉพาะและชัดเจน
 
3. อย่าเสียเวลาและเริ่มลงมือทำ


ภาพจาก freepik
 
หากมีบทเรียนหนึ่งที่คุณอยากรู้ในบทความนี้ ก็คือเรื่องนี้แหละครับ
 
ผมมีนิสัยที่ชอบลองกระโดดดูก่อนและค่อยมาดูผลลัพธ์ทีหลัง ในขณะที่บางคนมองว่านี่เป็นนิสัยที่ห่ามมาก ผมเรียกว่ามันเป็นสัญชาตญาณของผม แน่นอนว่ามันไม่ได้ผลไปทุก ๆ ครั้งหรอกครับ แต่หากมันไม่ได้ผลแล้ว ผมคิดว่ามันก็เป็นการเรียนรู้ที่มีค่า
 
นิสัยนี้เกิดขึ้นจากความล้มเหลวครั้งแรกของผมในฐานะผู้ประกอบการในการวางแผนดำเนินร่วมทำธุรกิจ ผมได้เช่าไนต์คลับแห่งหนึ่ง ได้ว่าจ้างดีเจและทำการลงทุนโปรโมทงานอีเว้นโดยที่สุดท้ายผมต้องดูความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่มีใครร่วมงานเลย


Erik Bergman
ภาพจาก bit.ly/3cqUiBP
 
หากผมต้องการใช้เวลาคิดเกี่ยวกับการเงินกับการลงทุนจัดงานอีเว้นท์อย่างมีเหตุผลด้วยแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีผมยังมีโอกาสและแม้ว่าผมจะล้มเหลว ผมได้เรียนรู้บทเรียนล้ำค่าอย่างหนึ่งในชีวิตของผมก็คือ : ผู้คนไม่สนใจเรื่องที่คุณล้มเหลวหรอก
 
บทเรียนแรกนี้ช่วยให้ผมมีกำลังใจเดินหน้าสู้กับธุรกิจที่ล้มเหลวได้ แม้ผมยังคงล้มเหลวต่อเนื่อง ผมก็ไม่เคยหยุดหรือเรียนรู้จากความล้มเหลวของผม ที่สำคัญก็คือ ความล้มเหลวในแต่ละเรื่องทำให้ผมเข้าใกล้ความฝันที่เป็นจริงมากขึ้นทุกที
 
หลังจากที่ได้วางแผนธุรกิจแล้ว ผมได้เปิดตัวธุรกิจที่เป็นมิตรต่อเด็ก ๆ กับเพื่อนวัยเด็กชื่อ Emil Thidell ซึ่งก็ล้มเหลวอีก แต่ผมก็เข้าใจว่า Emil เป็นหุ้นส่วนธุรกิจที่ดีที่สุด เนื่องจากพวกเรามีเคมีตรงกันและคอยเติมเต็มระหว่างกัน
 
จากนั้นพวกเราได้เปิดตัวธุรกิจอาหารออนไลน์ในบ้านเกิดของพวกเราและพยายามเจาะไปยังธุรกิจภายในพื้นที่เพื่อโฆษณา เช่นกันธุรกิจนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่พวกเรายังคงมองหาแนวทางทำธุรกิจการตลาดออนไลน์กับการออกแบบเว็บไซด์อยู่


ภาพจาก bit.ly/39BaVZq
 
จากนั้นพวกเราสร้างซอฟต์แวร์โป๊กเกอร์ขึ้นมา จะต้องขอบคุณแรงบันดาลใจใหม่ที่ทำให้ผมให้ความสนใจในการพนัน แต่พวกเราก็ล้มเหลวอีกครั้ง แต่นี่ก็ทำให้พวกเราเข้าใจได้ถึงอุตสาหกรรมการพนันออนไลน์ที่นำไปสู่การเปิดตัวเว็บไซด์บิงโกออนไลน์ เว็บไซด์การตลาดบิงโกนี้เป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จธุรกิจแรกและสุดท้ายก็มาเติบโตในบริษัท Catena Media
 
นิสัยของผมเริ่มต้นจากความล้มเหลวหลายพันเรื่อง แต่มันสอนให้ผมเข้าใจในบทเรียนหลายพันเรื่องด้วยเช่นกัน และทำให้ผมเข้าใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ จนนำไปสู่ความสำเร็จ หากคุณไม่ลังเลที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจ อย่ารอช้า เริ่มได้เลยครับ

คุณผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
อ่านบทความอื่นๆ จากไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ www.thaifranchisecenter.com/document
เลือกซื้อแฟรนไชส์ไทยขายดี เปิดร้าน www.thaifranchisecenter.com/directory/index.php

ที่มา : https://bit.ly/2PQIyim
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
612
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
514
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
477
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
434
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
419
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
417
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด