ผมอยากมาเล่าถึงการนำเทคโนโลยีที่อยู่ใกล้ตัวมาก ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ในการดำเนินชีวิตอย่างในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องของการดูแลสุขภาพของตัวเองและสิ่งแวดล้อม 

 

อย่างที่ทราบกันว่าที่ผ่านมาประเทศไทยเจอกับปัญหาเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บอย่างไวรัสโคโรน่า และปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องของฝุ่น pm 2.5 ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจและตื่นตัวกันมาก เห็นได้จากการขาดตลาดของหน้ากากอนามัยทั้งแบบที่ป้องกันไวรัสและ pm 2.5

ภาพจาก bit.ly/2JLm92o

 

ที่ผ่านมาช่วงที่ผมมีอาการไม่ค่อยสบายได้ลองวิเคราะห์ตัวเองในขั้นแรกว่าน่าจะเป็นอะไร โดยใช้วิธี Cloud Sourcing คือแชร์ข้อมูลของอาการที่เป็น ก็ได้รับความเห็นจากหลากหลายมุมมอง บางคนว่าเป็นนั่นบ้าง เป็นนี่บ้าง ซึ่งผมประมวลแล้วคิดว่าอาจจะเกิดจากอาการกรดไหลย้อน จากนั้นผมก็ไปหาหมอเพื่อตรวจอาการให้แน่ใจ

 

การฟังความคิดเห็นจากคนรอบข้างทำให้ได้ data หรือข้อมูลจำนวนมาก เราก็ยิ่งมีข้อมูลในการตัดสินใจมากขึ้น ยิ่งเป็นความเห็นจากคนที่เชื่อถือได้ก็ยิ่งทำให้ข้อมูลนี้สามารถยืนยันบางอย่างได้ดียิ่งขึ้น เดี๋ยวนี้มีอุปกรณ์พวก wearable ที่ช่วยเช็กสุขภาพได้ด้วย ผมเองใช้อุปกรณ์เหล่านี้อยู่แล้วจึงดูข้อมูลการเต้นของหัวใจก็เห็นว่ามีอัตราการเต้นปกติ 

 

นอกจากนั้นเรายังสามารถดูในเรื่องของพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างพฤติกรรมการนอนว่าเพียงพอหรือไม่ได้อีกด้วย เหล่านี้คือ data ที่ผมเก็บเองได้ นี่คือจุดเด่นของอุปกรณ์เหล่านี้ที่ใช้งานได้จริงกับร่างกายของเรา อุปกรณ์เหล่านี้ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ในระดับหนึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ 100% ก็ตาม อย่างน้อยหากเราส่งข้อมูลนี้ให้แก่แพทย์ที่เราไปพบก็จะทำให้การวินิจฉัยที่ดียิ่งขึ้น

ภาพจาก bit.ly/3e59xRG

 

นอกจากเรื่องของอุปกรณ์ที่ว่ามา เทคโนโลยีที่เราสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงอีกอย่างก็คือ Google Map เราสามารถย้อนกลับมาดูได้ว่าเราใช้เวลาเท่าไหร่ สถานที่ใดบ้างในแต่ละวัน เพราะ Google Map จะเก็บข้อมูลไว้เช็กได้จาก Timeline ผมนำข้อมูลเหล่านี้มาช่วยให้วิเคราะห์หลาย ๆ อย่างได้แม่นยำขึ้น

 

ผมซื้ออุปกรณ์ตัวหนึ่งจาก AirVisual ใช้สำหรับวัดฝุ่น pm 2.5 ติดตั้งไว้หน้าบ้าน ผมเปิดเป็นแบบ public เพื่อให้ทุกคนสามารถดูได้ว่าตรงตำแหน่งที่ตั้งของบ้านผมซึ่งอยู่แถวราชพฤษก์นั้นมีค่า pm 2.5 เท่าใด ขณะนี้รอการอนุมัติข้อมูลจากทาง AirVisual ก่อนน่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์

 

หากคนไทยติดตั้งอุปกรณ์พวกนี้เยอะ ๆ เราจะมีข้อมูลอากาศในแต่ละจุดของประเทศไทยที่แม่นยำมากขึ้น แต่เครื่องหนึ่งราคาก็ไม่ใช่เล่น แต่ผมสังเกตว่าในละแวกบ้านผมนั้นไม่ค่อยมีใครติดตั้งเท่าไหร่ จึงตัดสินใจว่าติดเพื่อคนในละแวกนี้ก็แล้วกัน
 

ภาพจาก bit.ly/2VaXwBp

 

ต้องยอมรับว่า AirVisual เป็นแพลตฟอร์มแรก ๆ ที่ทำเรื่องนี้ และที่เจ๋งมากก็คือแม้ผมจะเสียเงินซื้ออุปกรณ์เขามาแต่ก็ต้องแชร์ข้อมูลกลับไปให้เขา เพราะเขาจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ต่ออีกที ถือเป็น business model ที่ยอดมาก นี่มันคือ Cloud Sourcing แบบง่าย ๆ ที่ให้คนทั่วไปช่วยกันส่งข้อมูลกลับไปช่วยแพลตฟอร์มอีกที ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อโลกนี้เช่นกัน

 

ลองกลับมามองตัวเองครับผมเชื่อว่าบางท่านมีอุปกรณ์เหล่านี้อยู่แล้ว คำถามคือเมื่อเรามีอุปกรณ์เหล่านี้ซึ่งจะมีข้อมูลของเราอยู่ เราอาจนำมาวิเคราะห์เบื้องต้นเองก่อนได้ และยังสามารถนำข้อมูลที่มีอยู่ในมือส่งต่อให้กับแพทย์ เช่น ข้อมูลการนอน การเต้นของหัวใจ ฯลฯ มันจะช่วยทำให้แพทย์มี data เพื่อการวินิจฉัยได้แม่นยำมากขึ้น 

 

ทั้งหมดนี่คือ Digital Footprint ที่ดีของเรา ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการวิเคราะห์สุขภาพตนเอง เป็นวิธีการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่ใกล้ตัวมากมาใช้ให้คุ้มประโยชน์ของมันจริง ๆ จงกลับไปเรียนรู้และใช้ประโยชน์ของมันให้คุ้มค่าที่สุกกันเถอะครับ อาจยังมีอีกหลายอย่างที่คุณยังไม่เคยใช้มัน แล้วจะรู้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้ช่วยเราได้อย่างเหลือเชื่อ