บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
651
2 นาที
15 พฤษภาคม 2567
เจ้าของธุรกิจกุมขมับ! วิกฤตเด็กไทยเกิดน้อยกระทบธุรกิจมหาศาล
 

ย้อนไประหว่างปี 2506-2526 อัตราการเกิดของเด็กไทยเฉลี่ยปีละ 1,000,000 คน โดยในปี 2514 มีอัตราการเกิดสูงสุดถึง 1,200,000 คน อัตราการเกิดที่มากในช่วงนั้นถึงขั้นที่เรียกว่า “สึนามิประชากร” กันทีเดียว
 
แต่เรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นเพราะตั้งแต่ปี 2526 เป็นต้นมาอัตราการเกิดของประชากรไทย กลับค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ และนับตั้งแต่ ปี 2564 -2566 อัตราการเกิดของเด็กไทยลดลงเกินครึ่ง เหลือเฉลี่ยแค่ปีละ 500,000 คน
  • ปี 2564 อัตราเกิด 544,570 คน อัตราตาย 550,042 คน
  • ปี 2565 อัตราเกิด 502,107 คน อัตราตาย 595,965 คน
  • ปี 2566 อัตราเกิด 519,660 คน อัตราตาย 567,055 คน
ตัวเลขการเกิดที่น้อยลงอย่างชัดเจนนี้ส่งผลเสียอะไรต่อภาคธุรกิจบ้าง ลองมาวิเคราะห์พร้อมๆกัน
 
1.วัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง
 

อันเนื่องมาจากคนเกิดน้อยลง สวนทางกับผู้สูงวัย (อายุเกิน 60) ที่มีมากขึ้น เมื่อวัยแรงงานมีจำนวนน้อยลง การสรรหาบุคลากรให้เหมาะสมกับงานก็เป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น
 
2.ปัญหาแรงงานต่างด้าว
 
เป็นผลพวงแบบลูกโซ่เมื่อแรงงานไทยมีน้อย วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายสุดคือหันไปพึ่งพาแรงงานต่างด้าว 
 
3.จัดเก็บภาษีไม่เพียงพอกับการบริหารประเทศ
 

ในอนาคตหากอัตราการเกิดยังต่ำลง วัยแรงงานจะหายไปในสัดส่วนที่สูงมาก มีผลต่อการจัดเก็บภาษีของคนที่อยู่ในวัยทำงานจะทำได้น้อยลง ซึ่งเงินภาษีส่วนนี้คือเงินที่ต้องนำมาใช้พัฒนาประเทศต่อในอนาคต
 
4.ขาดแคลนแรงงานฝีมือ
 

เมื่อตัวเลือกในวัยทำงานมีน้อย คนที่มีความรู้ความสามารถก็หายากขึ้นด้วย สวนทางกับโลกยุคใหม่ที่ก้าวล้ำมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้การเติบโตของประเทศก็จะถดถอยด้วย
 
5.ทุกธุรกิจต้องปรับตัวสู้วิกฤติ
 

คนกลุ่มวัยทำงาน วัยเด็ก วัยเรียน คือกำลังซื้อที่ทุกธุรกิจมุ่งเป้าต้องการ หากตัวเลขตรงนี้ลดลงชัดเจนนั่นหมายความว่าต้องมีการปรับปรุงธุรกิจในหลายด้านให้สอดคล้อง โดยเฉพาะในธุรกิจการศึกษาที่น่าจะได้รับผลกระทบเยอะมาก ยกตัวอย่าง การเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยบางแห่งจากที่เคยเด็กเข้าเรียนปีละ 7,000-8,000 คน แต่อาจเหลือเพียง 4,500 คน ไม่รวมบรรดาโรงเรียนกวดวิชาต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบแน่
 
และหากมองให้ลึกซึ้งลงไปอีกสัดส่วนของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ปัจจุบันลดลงเหลือแค่ ร้อยละ 20 และคาดว่า ในปี 2581 อัตราการเกิดจะยิ่งลดลง เหลือต่ำกว่า ร้อยละ 15 สวนทางกับการเติบโตของประชากรสูงอายุ 60 ปี ที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นคาดว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า พ.ศ.2576 ประเทศไทย จะมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากถึง ร้อยละ 30 เฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4-5 ต่อปี

และอัตราผู้สูงอายุวัย 80 ปี ขึ้นไป ก็จะค่อย ๆ ขยับตามขึ้นไปที่ ร้อยละ 7- 8 ต่อปี และถ้ายังคิดว่าตัวเลขนี้ยังไม่วิกฤติมากพอยังมีข้อมูลที่ชี้อีกว่า ไทยมีอัตราการเกิดน้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากญี่ปุ่น และหากจัดเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ไทยกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดน้อยที่สุดในโลกอีกด้วย

 
แต่ที่แย่กว่ามีน้อย คือ “มีน้อยและด้อยคุณภาพ” โดยในปี 2566 มีเด็กประถมวัย 0-6 ปี จำนวน 4.3 ล้านคน แต่ในปี 2583 จะเหลือเพียง 3.1 ล้านคนเท่านั้น นอกจากนี้ยังเด็กที่อยู่ในครัวเรือนยากจนมากถึง 3.5 แสนคน ตัวเลขนี้สัมพันธ์กับเรื่องพัฒนาประเทศอย่างชัดเจน ยิ่งเด็กไทยมีน้อยและขาดความรู้ความสามารถร่วมด้วยย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในทุกภาคส่วนอย่างมหาศาล
 
ถึงขนาดที่ช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมามีโครงการของกระทรวงสาธารณสุขที่ “ชวนคนไทยปั๊มลูกเพื่อชาติ” แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่นัก ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่าการมีลูก 1คนในยุคนี้มีค่าใช้จ่ายสูง

คนนิยมความเป็นอิสระไม่อยากมีคู่ครองก็เพิ่มขึ้น การแก้ปัญหาเรื่องนี้ คงต้องมีมาตรการอีกหลายอย่างเพื่อเอามาประกอบ แต่สภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็เข้าใจได้ว่าทำไมคนไทยไม่อยากมีลูก เพราะขนาดตัวเองยังเอาแทบไม่รอดถ้ามีเด็กมาเพิ่มถ้าเลี้ยงเขาได้ไม่ดี ก็สู้ไม่มีซะดีกว่า สิ่งนี้จึงเป็นปัญหาระดับชาติที่มีแนวโน้มว่าจะแก้ได้ยากมากๆด้วย
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
608
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
502
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
420
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
409
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด