บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
365
2 นาที
28 พฤษภาคม 2568
รวยแบบไม่สิ้นสุด "Brand Capitalism" พิมพ์เขียวสู่ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
 

ในยุคที่โลโก้ทรงพลังยิ่งกว่านโยบายรัฐบาล แนวคิด “Brand Capitalism” หรือ “ทุนนิยมแบรนด์” ก็กลายเป็นคำที่ต้องรู้ไว้ ซึ่ง Brand Capitalism คือ การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและเป็นที่ต้องการของตลาด โดยที่เจ้าของแบรนด์ไม่จำเป็นต้องมีโรงงานผลิตเพื่อผลิตเอง ไม่ต้องมีหน้าร้านเพื่อขายสินค้าเอง เพียงแค่เป็นเจ้าของ “แบรนด์” ที่แท้จริงก็สามารถสร้างรายได้เรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด
 
อธิบายให้เข้าใจง่ายกว่านี้ ก็คือเน้นการขาย "ภาพลักษณ์" และ "คุณค่า" ของแบรนด์ มากกว่าสินค้าจริงเพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อแค่ “ของใช้” แต่ซื้อ “ความรู้สึก” ที่แบรนด์มอบให้ ยกตัวอย่างเช่น
  • เราไม่ได้ซื้อ Nike เพราะแค่รองเท้าดี แต่เพราะมันบอกว่าเรา “Just Do It” ได้
  • เราใช้ Apple เพราะให้ความรู้สึกว่าเป็นคนทันสมัย และก้าวนำเทคโนโลยีเสมอ
  • เราใช้บริการ Starbucks เพราะรู้สึกว่าส่งเสริมภาพลักษณ์ให้เราดูดีมีสไตล์ได้
แต่แน่นอนว่าการสร้างแบรนด์ให้เป็น Brand Capitalism ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายในเวลาอันสั้น สิ่งสำคัญสุดคือการสร้าง “อุดมการณ์ของแบรนด์” ที่ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง และต้องแสดงจุดยืนของแบรนด์ที่ชัดเจน เน้นการให้ “คุณค่า” ที่สำหรับกว่าการสร้าง “มูลค่า” รู้จักใช้การตลาดที่จะเชื่อมโยงประสบการณ์ร่วมกันระหว่างแบรนด์และลูกค้า เพื่อให้แบรนด์นั้นเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปได้
 
 
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือกรณีของเนสท์เล่ ที่มีปัญหาการฟ้องร้องในทางธุรกิจตามที่เป็นข่าว สิ่งที่เราเห็นได้คือความเป็น Brand Capitalism ที่ชัดเจน เนื่องด้วยลูกค้าส่วนใหญ่ผูกพันกับแบรนด์นี้ไปแล้ว การทำตลาดเพื่อขายสินค้านี้จึงทำได้ง่าย ทุกวันนี้เราแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครเป็นเจ้าของแบรนด์ แต่เรามั่นใจในโลโก้และสินค้า มันคือการตลาดที่เจ้าของแทบไม่ต้องลงทุนมาก ก็ต่อยอดต่อไปได้ แตกต่างจากการไปสร้างแบรนด์ใหม่ ที่ต้องมาเริ่มทุกอย่างใหม่ กว่าจะก้าวมาเป็น Brand Capitalism ได้ต้องใช้เวลานานมาก 
 
อีกตัวอย่างแบรนด์ที่คนจำภาพลักษณ์ของสินค้าและเลือกซื้อแบบไม่ต้องคิดอะไรคือ “น้ำอัดลม” ไม่ว่าจะ เป๊บซี่ หรือ ว่าโค้ก ต่างก็มีฐานลูกค้าตัวเองเหนียวแน่น จุดนี้ทำให้สร้างรายได้มหาศาล ยกตัวอย่าง

เป๊บซี่ มียอดรายได้รวมทั่วโลกในปี 2567 ที่ผ่านมาประมาณ 91.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท เฉพาะในเมืองไทยมีรายได้กว่า 18,000 ล้านบาท 
 
 
อย่างไรก็ดีถ้าวิเคราะห์ในด้านการตลาด มี 3 สิ่งสำคัญที่นำไปสู่การเป็น Brand Capitalism ได้

1.เริ่มจากการทำ SWOT Analysis เลือกเวทีการแข่งขันที่เหมาะสมกับศักยภาพ และรู้ว่าควรพัฒนาแบรนด์ไปในทิศทางใด เพื่อให้เหมาะสมกับศักยภาพของสินค้า
 
2. สร้างความเป็น Brand Essence คือการวางรูปแบบธุรกิจและการจัดการแบรนด์อย่างมีกลยุทธ์ มีระบบแบบแผน ตั้งแต่กระบวนการผลิต การประชาสัมพันธ์ การจัดจำหน่าย รวมไปถึงการบริการลูกค้า สิ่งเหล่านี้ไม่ควรทำตามคนอื่น หรือคู่แข่ง แต่ควรทำบนแก่นของแบรนด์
 
3. Risk Management หรือการเตรียมแผนการรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและแนวทางการแก้ปัญหา เช่น ในการลงทุน หากต้องกู้เงินธนาคาร ต้องรู้จักกำลังตัวเองว่าสามารถบริหารจัดการหนี้ได้หรือไม่ รวมถึงการสร้าง Brand Engagement ที่ทำให้คนรู้สึกผูกพันกับแบรนด์ รักแบรนด์ ลุกขึ้นมาปกป้องแบรนด์เวลาที่แบรนด์ถูกโจมตี หรือมีข่าวเสียหาย
 
 
การสร้าง Brand Capitalism ถือเป็นจุดสุดยอดแห่งความสำเร็จของทุกแบรนด์ที่หากสร้างได้ มันคือโอกาสในการทำธุรกิจที่มีกำไรไม่รู้จบ แม้จะมีคู่แข่งอื่นแต่ก็ไม่ทำให้ Brand Capitalism ได้รับผลกระทบมากนัก นอกจากแบรนด์จะทำตัวเอง ไม่รักษาคุณภาพ ไม่ต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ มีคนกล่าวว่าเมื่อเราอยู่ในจุดที่สูงสุดคู่แข่งสำคัญที่สุดก็คือตัวเราเองเท่านั้น

 ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
606
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
499
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
475
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
419
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
406
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
405
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด