บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
390
2 นาที
14 ตุลาคม 2568
เปลี่ยนเทรนด์ความเร็วของเวลาที่ไม่คอยใคร! ให้เป็น “กำไร” ธุรกิจ
 

ใน 1 ปี มี 365 วันหรือ 8,760 ชั่วโมงเท่าๆกัน แต่เคยรู้สึกไหมว่าทำไมปีนี้เร็ว? ทำไมปีนี้ช้า? อย่างปี 2568 หลายคนบอกว่าเร็วมาก เหมือนจะเพิ่งฉลองปีใหม่มาไม่นาน เผลอแป๊บๆ ตอนนี้ใกล้จะปีใหม่อีกแล้ว
 
ถ้าอธิบายเรื่องนี้ในเชิงจิตวิทยา มีทฤษฏีหนึ่งที่เรียกว่า “เวลาเชิงสัดส่วน” (Proportional Theory of Time)
 
คือยิ่งคนเรามีอายุมากขึ้น 1 ปีจะมีสัดส่วนเล็กลงเมื่อเทียบกับอายุรวมเช่น
  • ตอนอายุ 10 ปี ในเวลา 1 ปี คิดเป็นสัดส่วน 10% ของชีวิต
  • ตอนอายุ 40 ปี ในเวลา 1 ปี คิดเป็นสัดส่วนชีวิตแค่ 2.5% 
สัดส่วนที่ยิ่งน้อยลงความรู้สึกมันก็ยิ่งผ่านไปไว และในสมองของเรามักเก็บความทรงจำจาก สิ่งใหม่ ๆ ได้ดีกว่า แต่เมื่อชีวิตเริ่มมี ความซ้ำซาก เวลาก็เหมือนผ่านไปเร็วขึ้นได้ รวมถึงเรื่องของความเครียดโดยเฉพาะในยุคที่เร่งรีบ การมุ่งเน้นทำแต่เรื่องงาน เรื่องหาเงิน เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้สมองรับรู้เวลาว่าผ่านไปไว
 
ความเร็วของเวลาในแง่ของเศรษฐกิจ และสังคม

ถ้าวิเคราะห์ในแง่ของเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจ การที่โลกมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว รวมถึงการมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ความรู้สึกว่าปี 2568 นี้มันเดินไปไวมาก ถ้าลองไล่เรียงจากต้นปีเอาแค่ในเมืองไทยก็มีเหตุการณ์หนักๆ เกิดขึ้นเยอะได้แก่
  • เหตุการณ์แผ่นดิวไหวขนาด 7.4 ริกเตอร์เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2568 ที่ทำให้ตึก สตง.ถล่ม
  • เหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อปลายเดือนกรกฏาคม และยังมีผลต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้
  • เหตุการณ์น้ำท่วมหนักภาคเหนือรวมถึงดินถล่มมีประชาชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง
ไม่นับรวมพวกคดีที่เกี่ยวกับวงการพระสงฆ์ที่มีข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่อง และล่าสุดคือเหตุการณ์ถนนยุบขนาดใหญ่หน้าโรงพยาบาลวชิระพยาบาล เป็นต้น
 
มีนักวิชาการเคยพูดถึงเรื่องความเร็วของเวลาไว้อย่างน่าสนใจว่า มนุษย์ต้องใช้เวลาถึง 1,200 ปีเพื่อเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมเกษตรกรรม และลดเหลือ 120 ปีเพื่อเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม และใช้เวลาเพียง 60 ปีเข้าสู่ยุคสู่ยุคสารสนเทศ จากนั้นย่อเหลือไม่ถึง 30 ปีจนกลายเป็นยุคดิจิทัลเช่นในทุกวันนี้
 

ภาพจาก https://elements.envato.com

การถือกำเนิดของสิ่งใหม่ที่เข้ามาทดแทนสิ่งเดิมก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ในทางกลับกันก็เป็นช่วงเวลาที่มีการล้มหายตายจากของธุรกิจเดิม เช่น Kodak ที่เป็นผู้นำธุรกิจด้านการถ่ายภาพและเป็นผู้บุกเบิกกล้องดิจิทัลก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หรือ Nokia ที่เคยดังมากๆ สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับบรรดาสมาร์ทโฟนค่ายต่างๆ 
 
การนำเทรนด์ความเร็วของเวลาไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ
 
ถ้าเราเอาเรื่อง “เทรนด์ความเร็วของเวลา” มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในมุมหนึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้เร็วและทำให้มียอดขายที่ดีมากขึ้น ซึ่งธุรกิจเองก็ต้องเข้าใจความเป็นจริงของยุคสมัยใหม่ให้ได้ก่อน
 
ภาพจาก https://elements.envato.com

1.วงจรสินค้า–บริการสั้นลง ผู้บริโภคเบื่อง่าย ต้องการสิ่งใหม่เร็ว แบรนด์ที่ออกสินค้าใหม่ช้า อาจเสียลูกค้าให้คู่แข่งทันที และปัจจุบันวงจรสินค้า (Product Life Cycle) สั้นลงมากจากเดิม 3–5 ปี เหลือไม่ถึง 1 ปี เช่น โทรศัพท์, Gadget, แพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้บริโภคจึงรู้สึกว่า “เวลาเดินไว” เพราะต้องตามเทรนด์ใหม่ตลอด
 
2.ผู้บริโภคเร่งการใช้จ่ายเร็วขึ้น ค่าครองชีพไทยปี 2568 พุ่งขึ้นเฉลี่ย 6–8% ต่อปี คนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการ “หาเงิน-ประหยัด” ทำให้ชีวิตวนลูป และวัน/เดือนผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ธุรกิจเองก็แข่งกับเวลา ต้องรีบเปิดตัวสินค้าใหม่, รีบทำแคมเปญ คนส่วนใหญ่จึงรู้สึกว่าเวลาวิ่งเร็วมาก
 
3.ยุคสังคมข้อมูลเร็ว (Information Overload) ปัจจุบันคนไทยใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ย 3–5 ชั่วโมง/วัน มีข่าว/เทรนด์อัพเดตทุกวินาที ทำให้สมองรับข้อมูลเยอะ แต่เก็บความทรงจำได้น้อย เมื่อย้อนมองกลับไป เหมือนว่า “ปีนี้ไม่มีอะไรจำได้ชัด” เวลาจึงดูเหมือนผ่านไปเร็ว
 
4.วัฒนธรรม “เร่งด่วน” ของผู้บริโภค การเติบโตของอีคอมเมิร์ช และบริการเดลิเวอรี่ อยากได้อะไรสั่งได้ทันที ทำให้ความอดทนของผู้บริโภคลดลง เมื่อการรอคอยที่ทำให้เวลาเหมือนเดินช้าหายไปก็เป็นส่วนหนึ่งในความรู้สึกว่าทุกวันนี้เวลามันเดินเร็วขึ้น
 
ธุรกิจควร “ปรับตัว” ให้เข้ากับ “เทรนด์ความเร็วของเวลา” อย่างไร
 

ธุรกิจมองในระยะยาวการ “ปรับตัว” แบบ Real-time Marketing จึงสำคัญกับการทำธุรกิจในยุคเวลาเดินเร็วเช่น ธุรกิจแฟชั่น–อาหาร ต้องอัพเดตเมนู/สินค้าเร็วขึ้นอย่างน้อย ทุก 1–2 เดือน หรือมีบริการจัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับให้เร็วที่สุดรวมถึงต้องใช้ Content Marketing ที่เล่นกับความรู้สึกแบบ Fear of Missing Out (FOMO) หรือจะเป็นการใช้ Subscription model คือการหมุนสินค้า/บริการให้ผู้บริโภครู้สึกว่า “มีอะไรใหม่ตลอดเวลา” 
 
ลองมาดูตัวอย่างธุรกิจไทยในยุคเวลาเดินเร็ว ถ้าปรับเปลี่ยนตัวเองจะเพิ่มยอดขายได้แค่ไหน
 

ยกตัวอย่างร้านอาหาร – คาเฟ่ & ชานมไข่มุก ซึ่งเป็นธุรกิจสุดฮิตที่ไม่ตกเทรนด์แต่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เร็วมาก ถ้าดูข้อมูลในปี 2568 มีคาเฟ่เปิดใหม่ในกรุงเทพฯ มากกว่า 2,000 ร้าน/ปี แต่กว่า 40% ต้องปิดตัวในปีแรก เหตุผลหนึ่งก็คือไม่มีเมนูใหม่หรือบริการใหม่ๆที่จะดึงดูดลูกค้าได้ การปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดควรต้องออก Seasonal Menu ทุก 1–2 เดือน เช่น ชาไข่มุกสีพิเศษตามเทศกาล จะเพิ่มยอดขาย 20–30% ช่วงเปิดตัว
 
หรืออีกธุรกิจที่โดนผลกระทบในเรื่อง “เทรนด์ของเวลา” อย่างชัดเจนคือ “ร้านเสื้อผ้าและแฟชั่น” ยิ่งกระแสโซเชี่ยลมาแรง ผู้บริโภคไทยติดเทรนด์ TikTok & Instagram อย่างรวดเร็ว บางครั้งเสื้อผ้าเก่าเพียง 2–3 เดือนก็ขายไม่ออก มีข้อมูลน่าสนใจระบุว่าร้านที่อัพเดตสินค้าใหม่ทุก 2 สัปดาห์ มียอดขายสูงกว่าร้านที่ออกคอลเลกชัน 2–3 เดือนครั้ง ถึง 1.7 เท่า และแบรนด์เสื้อผ้าที่ช้ AI ออกแบบเสื้อผ้า และผลิตล็อตเล็ก (Just-in-time) สามารถหมุนคอลเลกชันได้ไวกว่า และสต็อกค้างลดลงเกือบ 50%
 
ดังนั้นความเร็วของเวลาและยุคสมัยที่เปลี่ยนเร็วอาจไม่ใช่ปัญหาแต่มันคือโอกาสที่ธุรกิจต้องปรับตัวตามให้ทัน ถ้ามองว่าปีนี้เวลาผ่านไปเร็ว ในปีหน้าและปีต่อๆ ไปเวลาก็ยังจะคงเดินเร็วอยู่ เพราะสังคมมีการปรับเปลี่ยนตลอด พฤติกรรมลูกค้าก็เปลี่ยนแปลงธุรกิจไหนที่คิดว่าตัวเองดีและหยุดนิ่งอยู่กับที่ มีแต่รอวันเจ๊งไม่ว่าเวลาจะเดินช้าหรือเร็วก็ตาม 

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
571
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
471
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
416
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
380
ปี 2025 ธุรกิจยิ่งทำยิ่งจม! Preemptive Adaptatio..
377
เพิ่มวิวไลฟ์สด ให้ยอดขายพุ่ง! ดันแฟรนไชส์ของคุณใ..
365
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด