บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
971
3 นาที
23 ตุลาคม 2568
ระเบิดเวลา! ประชากรไทย ตายมากกว่าเกิด
 

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตประชากรที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยอัตราการตายที่สูงกว่าอัตราการเกิดกำลังทำให้ประชากรรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาสังคม แต่ยังเป็น "ระเบิดเวลา" ทางเศรษฐกิจที่อาจนำไปสู่การชะลอตัวของการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจอย่างถาวร
 
จุดเริ่มต้นของวิกฤตประชากรไทย
 

ภาพจาก https://elements.envato.com

ปัญหาวิกฤติตายมากกว่าเกิดในประเทศไทยไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่สะสมมานานหลายทศวรรษ เริ่มชัดเจนตั้งแต่ช่วงปี 2514 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของจำนวนการเกิดที่ 1.2 ล้านคนต่อปี จากนั้นอัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate: TFR) ลดลงจาก 3.1 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคนในปี 2493 เหลือเพียง 1.3 ในปี 2564 และต่ำลงเหลือ 1.1 ในปี 2566 
 
สาเหตุหลักมาจากการเข้าถึงวิธีคุมกำเนิดที่ทันสมัย การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร การแข่งขันในที่ทำงาน และการเลื่อนการแต่งงานหรือเลือกไม่แต่งงานของคนรุ่นใหม่
 
ตอกย้ำความชัดเจนของเรื่องนี้ด้วยข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยในปี 2567 พบว่า ประชากรไทยรวม 65,951,179 คน มีเด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คน ขณะที่มีผู้เสียชีวิต 571,646 คน ทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ (อัตราการเกิด – อัตราการเสียชีวิต) อยู่ที่ -0.17% ติดลบ 4 ปีติดต่อกัน หรือถ้าย้อนกลับไปดูตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาก็จะยิ่งเห็นตัวเลขชัดเจนขึ้น
 
ส่วนในปี 2568 คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนการเกิดประมาณ 450,000 คน ขณะที่การตายสูงถึง 580,000 คน ส่งผลให้มีตัวเลขการขาดดุลประชากรสุทธิกว่า 130,000 คน แน่นอนว่าอัตราการเกิดและตายที่ไม่สมดุลกันนี้มีผลโดยตรงต่อประชากรโดยรวม ที่ลดจาก 1 ล้านคนในปี 2566 เหลือต่ำกว่า 66 ล้านคนในปี 2567 และคาดว่าจะเหลือ 66.19 ล้านคนในปี 2568
 
วิเคราะห์ปัญหาทำไมคนไทย “ตายมากกว่าเกิด”
 

ภาพจาก https://elements.envato.com

วิกฤตินี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากร เศรษฐกิจ สังคม และนโยบายภาครัฐ ซึ่งรวมกันทำให้อัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราการตายเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนอีกหลายด้านได้แก่
  • การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เลื่อนการแต่งงานเลือกที่จะไม่แต่งงาน ส่งผลให้อัตราการสมรสลดลง 20% ในปี 2567
  • ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรที่สูงมาก ประมาณการว่าค่าเลี้ยงดูเด็กจนถึงอายุ 18 ปีในเมืองใหญ่เฉลี่ย 5-7 ล้านบาท ทำให้หลายครอบครัวตัดสินใจมีลูกน้อยลงหรือไม่มีเลย
  • การเน้นความเป็นครอบครัวขนาดเล็ก สะท้อนได้จากครัวเรือนที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีลดลงจาก 30% ในปี 2543 เหลือ 15% ในปี 2567 
  • ทัศนคติของคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จส่วนบุคคลและอิสรภาพ มองว่าการมีบุตรเป็นภาระมากกว่าความสุข
  • บทบาทสตรีในสังคมที่เปลี่ยนไป เพราะผู้หญิงมีการศึกษาสูงขึ้นและเข้าร่วมตลาดแรงงานมากขึ้น โดยสัดส่วนผู้หญิงวัยทำงานเพิ่มจาก 30% ในปี 2520 เป็น 45% ในปี 2567 ทำให้การมีบุตรกลายเป็นทางเลือกที่รองลงมา
  • ผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ทำให้อัตราการเกิดลดลงรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความกังวลด้านสุขภาพ ข้อมูลระบุว่าอัตราการเกิดในช่วงโควิดลดลง 81% จากจุดสูงสุดในรอบ 74 ปี
  • ปัญหาด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม มีผลทำให้อัตราการมีบุตรยาก (infertility) เพิ่มขึ้นในกลุ่มวัยเจริญพันธุ์ เนื่องจากความเครียด และมลพิษต่างๆ เช่น ฝุ่น PM2.5 ส่งผลต่อการตัดสินใจมีบุตร เนื่องจากความกังวลต่อสุขภาพเด็ก
วิกฤติซ้ำ! การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย
 

ภาพจาก https://elements.envato.com

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) ในปี พ.ศ. 2565 เพราะว่ามีประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปเกินกว่า 14% ของประชากรทั้งหมด 
 
และการสำรวจในปี 2568 พบว่ามีผู้สูงอายุคิดเป็น 20.70% หรือประมาณ 13.7 ล้านคนจากประชากรโดยรวม เพิ่มจาก 14% ในปี 2559 
 
และคาดว่าจะถึง 30% ในปี 2573 การเพิ่มขึ้นนี้ทำให้จำนวนการตายสูงขึ้น โดยในปี 2567 มีการตาย 571,646 คน เทียบกับการเกิดที่มีเพียง 462,240 คน 
 
และคาดว่าภายในปี 2576 หรืออีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ไทยจะมีประชากรผู้สูงอายุถึง 28% หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด และหากตัวเลขนี้ยังดำเนินต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง 
 
คาดว่าประชากรไทยจะลดลงครึ่งหนึ่งเหลือราว 33 ล้านคนภายในปี 2626 โดยสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 18 ล้านคน ขณะที่วัยเด็ก 0-14 ปี ลดเหลือ 1 ล้านคน อัตราการเติบโต GDP อาจต่ำกว่า 2% ต่อปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน และเสี่ยงต่อการล้มละลายทางการคลัง (fiscal collapse) จากภาระสวัสดิการที่สูงขึ้น
 
อย่างไรก็ดีปัญหา “สังคมผู้สูงวัย” ที่มีผลต่อเนื่องในเรื่องตายมากกว่าเกิดก็ไม่ใช่แค่ประเทศไทยเท่านั้นที่ต้องเผชิญในอีกหลายประเทศก็เจอปัญหานี้ไม่ต่างกัน รายงาน Population in Brief 2025 ของรัฐบาลสิงคโปร์ระบุว่า เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พลเมืองอายุ 65 ปีขึ้นไป คิดเป็นสัดส่วน 20.7% ของทั้งหมด เพิ่มจาก 19.9% ในปีก่อนหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 13.1% เมื่อปี 2015 
 
และคาดว่าสัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็น 23.9% ภายในปี 2030 และหากเทียบทั่วเอเชีย ‘ญี่ปุ่น’ มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากที่สุดที่ 30% ของประชากร ตามด้วย ‘ฮ่องกง’ ที่ 23% ส่วน ‘จีนแผ่นดินใหญ่’ และ ‘อินเดีย’ มีสัดส่วน 15% และ 7% ตามลำดับ ตามฐานข้อมูลของธนาคารโลก
 
คนเกิดน้อย แต่ตายเยอะมีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร?
 

ภาพจาก https://elements.envato.com

ปัจจุบันนี้สัดส่วนประชากรไทยกลายเป็นพีระมิดกลับหัว แตกต่างอย่างสิ้นเชิงถ้าเทียบกับปี 2529 ที่ตอนนั้นพีระมิดประชากรยังเป็นแบบฐานกว้าง เด็กเกิดใหม่เยอะ แรงงานเพิ่มเร็ว แต่ในยุคนี้ คนเกิดน้อย ผู้สูงอายุเพิ่มเร็ว ส่งผลให้แรงงานเริ่มหดตัว 
 
และวิกฤตินี้จะส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการขาดแคลนแรงงานและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจ ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า (2568-2578) ปัญหาที่จะพบคือ
  1. ขาดแคลนแรงงาน จำนวนประชากรเข้าสู่วัยแรงงาน อายุ 20-24 ปี ไม่สามารถชดเชยจำนวนประชากรที่ออกจากวัยแรงงานอายุ 60-64 ปีได้ ส่งผลให้ผลิตผลของประเทศลดลง รายได้จากการจัดเก็บภาษีลดลง และต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติมากขึ้น
  2. ภาวะพึ่งพิงวัยสูงอายุเพิ่มขึ้น โดยวัยทำงาน 2 คน ต้องแบกรับผู้สูงอายุ 1 คน ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่าอัตราส่วนการพึ่งพิงรวมของไทยล่าสุดปี 2024 อยู่ที่ 43.09% เพิ่มขึ้นจาก 42.47% ในปี 2023
  3. GDP จะเติบโตช้าลง ประมาณ 1-2% ต่อปี และค่าแรงสูงขึ้น 20-30% สวนทางกับผลผลิตในภาพรวมทางเศรษฐกิจที่ลดลงอย่างชัดเจนจากปัญหามีวัยแรงงานเหลือน้อย
  4. ภาระงบประมาณภาครัฐเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะงบสวัสดิการผู้สูงอายุ เช่น เบี้ยยังชีพ–บำนาญ–ค่ารักษาพยาบาล มีโอกาสพุ่งสูงต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าจะเพิ่มจาก 5% เป็น 11% ของ GDP ภายในปี 2060
  5. การบริโภคลดลง เพราะกลุ่มผู้สูงอายุมีแนวโน้มออมมากกว่าใช้จ่าย ทำให้การบริโภคภายในประเทศซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจหลักของไทยหดตัว โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับเด็กและครอบครัว
  6. นำไปสู่การล่มสลายของประชากร (Population Collapse) ครอบครัวจะมีความเปราะบาง ระบบสวัสดิการสังคมจะแบกรับไม่ไหว และอนาคตของทุกคนจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง
  7. ธุรกิจสูญเสียความสามารถแข่งขันในระดับภูมิภาค เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีประชากรวัยหนุ่มสาวมากกว่า ส่งผลให้การลงทุนตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไหลออกไปยังประเทศอื่นมากขึ้น
นอกจากภาคการผลิตที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตินี้โดยตรง อีกหลายธุรกิจก็มีความเสี่ยงในระดับสูงเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจด้านค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค 
 
เมื่อกำลังซื้อจากวัยทำงานลดลง สินค้าฟุ่มเฟือยขายไม่ออก เราอาจเห็นแบรนด์เสื้อผ้า / เครื่องสำอาง ยอดขายหล่นวูบประมาณ 20-30% หรือแม้แต่ธุรกิจการศึกษาก็น่าเป็นห่วง เนื่องจากจำนวนเด็กและวัยรุ่นที่ลดลง มีโอกาสที่นักเรียนนักศึกษาจะน้อยลง 30-50% ในอนาคต 
 

ภาพจาก https://elements.envato.com
 
เราอาจได้เห็นภาพของโรงเรียนเอกชน / มหาวิทยาลัยปิดตัวหลายแห่ง แต่ที่อาจจะหนักมากๆ ก็สินค้าในกลุ่มเกี่ยวกับเด็กและผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เพราะปัญหาอัตราการเกิดต่ำ จะส่งผลให้ยอดขายลดลงกว่า 40-50% ธุรกิจนมผง ของเล่น เสื้อผ้าเด็ก อาจจะต้องถึงขั้นปิดกิจการ
 
อย่างไรก็ดีในวิกฤตินี้ก็อาจจะยังมีมุมที่เป็นด้านบวกอยู่บ้าง การเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุอาจเป็นโอกาสเติบโตของ "เศรษฐกิจสีเงิน" (silver economy) เช่น ธุรกิจการแพทย์ สุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 15% ต่อปี โดยไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในภูมิภาคนี้
 
มาตรการภาครัฐสำหรับการแก้ไขวิกฤติ
 
สำหรับการแก้ปัญหาเรื่องเด็กเกิดน้อย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เสนอแนวทาง “ส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ” เป็นวาระแห่งชาติ โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ 
 
กำหนดเป้าหมายอัตราการเจริญพันธุ์รวมภายในปี 2570 อยู่ที่ไม่น้อยกว่า 1 และภายในปี 2585 ไม่น้อยกว่า 1.0-1.5 รวมถึงความพยายามในการแก้ไขปรับปรุง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ,Family Friendly Workplace ,ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดูแล และเลี้ยงบุตร ,สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุ 0-2 ปี 
 
นอกจากนี้ยังเน้นให้ประชากรที่เกิดใหม่เป็นบุคคลที่มีคุณภาพซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศภายใต้แนวคิด “Happy Child-Happy Family-Happy Community” ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤติคนตายมากกว่าเกิดไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ แต่คือปัญหาระดับชาติที่จะกระทบไปทุกภาคส่วน ประเทศไทยจำเป็นต้องตื่นตัวก่อนที่วิกฤตนี้จะกลายเป็น "ยาพิษ" ทางเศรษฐกิจ 
 
หากปรับตัวได้ทัน และแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่ถ้านิ่งเฉยหรือไม่แก้ไขจริงจังเรื่องนี้จะกลายเป็นระเบิดแบบตั้งเวลา เมื่อนับถอยหลังถึงวินาทีสุดท้ายเมื่อไหร่ ทั้งเศรษฐกิจและประเทศจะพังทลายพร้อมกันทั้งหมด

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ปี 2026 ธุรกิจไทยต้องคิดให้ลึกกว่า “กำไร” หัวใจอ..
571
10 Digital Marketing Agency ตัวช่วยเพิ่มยอดขาย ส..
471
กับดักเกษียณ คนไทยบางคน! จนก่อนแก่ แย่ก่อนตาย
416
กลยุทธ์ตั้งราคา CJ คุ้ม แพ็คใหญ่ ราคาส่ง ครองใจล..
380
ปี 2025 ธุรกิจยิ่งทำยิ่งจม! Preemptive Adaptatio..
377
เพิ่มวิวไลฟ์สด ให้ยอดขายพุ่ง! ดันแฟรนไชส์ของคุณใ..
365
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด