บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    การหาลูกค้า วิจัยทางการตลาด
5.2K
2 นาที
22 เมษายน 2559
กลยุทธ์การตลาด แบบปากต่อปาก ได้ผลจริงหรือ?



ภาวะเศรษฐกิจที่หลายคนกำลังอยู่ในช่วงกินไม่เข้าคายไม่ออก ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจต่างต้องพยายามหาวิธีการที่จะลดต้นทุนรวมถึงภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจ

โดยเฉพาะการทุ่มเงินจำนวนมากไปกับการทำตลาดที่อาจจะเป็นของแสลงไปแล้วสำหรับธุรกิจ SMEs แต่วิธีการทำการตลาดแบบไหนที่จะเหมาะกับ SMEs และสามารถสร้างพลังให้กับธุรกิจ SMEs ให้สามารถรักษายอดขาย หรือไม่ก็เพิ่มยอดขายได้ในช่วงสถานการณ์กำลังรัดเข็มขัด
 
วันนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com ขอนำเสนอกลยุทธ์การทำการตลาดแบบดั้งเดิม แต่มีพลังมหาศาล ไม่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก คือ “การตลาดบอกปากต่อปาก”

หรือที่นักการตลาดเรียกกันว่า Word of Mouth Marketing มาฝากท่านผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ที่ต้องการมองหาทางลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ครับ

ทำไมต้องการตลาด “บอกปากต่อปาก”

 
เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ไม่ให้ความสำคัญและไว้ใจในตัวโฆษณาเหมือนเดิม อีกทั้งการตลาดแบบบอกปากต่อปากเหมาะกับธุรกิจ SMEs ที่ไม่มีเงินทุนจำนวนมากสำหรับการทำการตลาด โฆษณา และประชาสัมพันธ์

ประการสำคัญการตลาดแบบปากต่อปากเป็นรูปแบบการทำตลาดที่มีการใช้กันมาอย่างยาวนาน ประเทศสหรัฐฯ ก็นิยมใช้กัน และประสบความสำเร็จมามากต่อมาก เพราะหากคุณมีสินค้าและการบริการดีมีคุณภาพ สร้างความแตกต่างในตลาด สามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ ผู้บริโภคเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่ทำการตลาดและบอกต่อกันเอง ขยายเป็นวงกว้าง
 
 
 
โดยนักการตลาดส่วนใหญ่มักนำกลยุทธ์การตลาดปากต่อปากมาใช้งาน เมื่อต้องการสร้างกระแสให้กับสินค้าและการบริการของตัวเอง เพื่อเพิ่มยอดขายและให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น ใช้เงินลงทุนต่ำ แถมแพร่กระจายได้รวดเร็ว
 
ยิ่งในยุคปัจจุบันวิธีการสื่อสารของผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้สื่อออนไลน์ ทางโซเชียลมีเดียต่างๆ อาทิ Facebook, Line, Twitter, Youtube เป็นต้น

หากคุณเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดแบบปากต่อปากแบบดั้งเดิมเชื่อมต่อโซเชียลมีเดียต่างๆ จะถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก สามารถสร้างกระแสในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิตอลนิยม กดไลค์ กดแชร์ และบอกต่อเป็นกันเป็นทอดๆ อยู่แล้ว  

วิธีการกระตุ้นให้แบรนด์ถูก “บอกต่อ” 
 

 
การดำเนินธุรกิจทุกประเภทย่อมได้รับผลกระทบจากกระแสการบอกต่อในหมู่ผู้บริโภคไม่มากก็น้อยครับ หลายๆ ธุรกิจ SMEs ได้รับผลดีจากการบอกต่อ และก็มีอีกหลายธุรกิจที่ได้รับผลลบจากการบอกต่อของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน  
 
นักการตลาดที่จะใช้การสื่อสารแบบบอกต่อเป็นเครื่องมือทางการตลาด จะต้องกำหนดวิธีการที่จะกระตุ้นให้เกิดกระแสข่าวบอกต่อในหมู่ผู้บริโภค โดยเริ่มต้นกระตุ้นไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เป็นต้นตอกระจายข่าวต่อๆ ไป และคาดหวังได้ว่าข่าวสารที่บุคลเหล่านั้นจะแพร่กระจายออกไป จะเป็นไปในแนวทางที่ต้องการ ซึ่งวิธีการกระตุ้นการบอกต่อมีดังนี้ 

1.กำหนดกลุ่มผู้บริโภคทรงอิทธิพล


 
เมื่อได้กลุ่มเป้าหมายที่คิดว่าจะเป็นต้นตอกระจายข่าวสารออกไปแล้ว จะต้องทุ่มเทกิจกรรมทางการตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้

เพราะผู้บริโภคบางคนจะมีลักษณะเป็นผู้นำในสายตาผู้บริโภครายอื่นๆ มักจะเป็นผู้ที่ยอมรับผลิตภัณฑ์หรือการบริการใหม่ๆ ได้รวดเร็วกว่าคนอื่น อาจเป็นเพราะมีความรู้ มีอำนาจการซื้อสูง หรือเป็นผู้มีใจเปิดกว้างต่อการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ

ดังนั้น หากสามารถเข้าถึงคนกลุ่มนี้ และกระตุ้นให้ยอมรับในตัวผลิตภัณฑ์และบริการได้ ก็จะทำให้คนกลุ่มนี้เป็นต้นแบบที่ทรงอิทธิพลในการบอกต่อไปยังผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ให้เกิดความสนใจและซื้อสินค้า
 
2.หาผู้นำให้ลองใช้ผลิตภัณฑ์

 
นักการตลาดอาจจะเฟ้นหาผู้บริโภคที่มีความเหมาะสม และกระตุ้นให้มีความรู้ความเข้าใจ คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ สร้างความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ด้วยการให้ทดลองใช้จริง จนสามารถกลายเป็นผู้นำทางความคิดที่ดีได้

ตอนแรกอาจจะไม่รู้จักผลิตภัณฑ์นั้นๆ เลย แต่พอได้ทดลองใช้ กลับกลายเป็นหลงใหลและชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ทันที นำไปสู่การการบอกต่อคนอื่น ซึ่งธุรกิจประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจบริการ 

3.จัดกิจกรรมการตลาดผ่านผู้นำชุมชน

 
ไม่ว่าจะเป็น นักจัดรายการวิทยุ สื่อมวลชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานกลุ่มแม่บ้าน เป็นต้น เพราะคนกลุ่มนี้จะเป็นแกนกลางในการติดต่อสื่อสารกันภายในกลุ่ม หรือชุมชนตนสังกัดอยู่

ดังนั้น โอกาสที่คนกลุ่มนี้จะเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ตนเองชอบไปยังคนอื่นๆ ในชุมชนก็ง่ายขึ้น ซึ่งวิธีการง่ายๆ ถ้าเป็นบริษัทรถยนต์อาจจะจัดกิจกรรมให้ผู้นำแต่ละกลุ่ม

หรือสมาชิกภายในกลุ่มได้ทดลองขับรถฟรีภายใน 1 วัน หรือบริษัทผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัว อาจจัดกิจกรรมเชิญกลุ่มแม่บ้านเข้าร่วมแข่งขันการทำอาหาร โดยให้ทดลองใช้อุปกรณ์จริงๆ ถ้าหยิบจับใช้งานคล่องก็จะเกิดการบอกต่อ
 
4.จัดโปรโมชั่นให้ลูกค้าบอกต่อระหว่างบุคคล 

 
ถือเป็นวิธีการกระตุ้นการบอกต่อด้วยการจัดโปรโมชั่นให้เฉพาะคนที่เป็นลูกค้า หรือไม่ก็ขอความสนับสนุนจากลูกค้าให้เป็นผู้ช่วยในการแนะนำผลิตภัณฑ์หรือการบริการไปยังกลุ่มเพื่อนๆ หรือผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ที่รู้จัก

เพื่อเป็นการเพิ่มเครือข่ายของกลุ่มลูกค้าให้กว้างมากขึ้น หรือไม่ก็ให้ลูกค้าแนะนำลูกค้าอื่นมาซื้อสินค้าและบริการเพิ่มอีก 2 คน ก็จะรับส่วนลด รางวัล หรือผลตอบแทนอื่นๆ  
 
5.นำเสนอโฆษณาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีประเด็นน่าสนใจลงบน Social Network 
 
 
นับว่าเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เกิดการกระจายข่าวสารบอกต่ออย่างแพร่หลายในชุมชนอินเทอร์เน็ต ช่องทางนี้นักการตลาดต้องทำการวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะการบอกต่อในโลกอินเทอร์เน็ตสามารถส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์และบริการทั้งในด้านดีและด้านลบ

ดังนั้น ควรที่นำเสนอเนื้อหาที่เป็นความจริง พิสูจน์ได้ ไม่หลอกลวงผู้บริโภค ตรงไปตรงมา ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เข้าใจง่าย เพราะถ้าผู้บริโภคไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร ก็อาจทำให้ไม่เกิดการบอกต่อก็ได้   
 
เห็นได้ว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้การสื่อสารแบบบอกต่อมีประสิทธิภาพสูงสุด อยู่ที่การสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่ไว้วางใจ เพราะเป็นกลุ่มบุคคลที่คุณรู้จัก คุ้นเคย ชื่นชอบ หรือมีความเชื่อถือ

แต่คุณจะต้องมีเจตนาที่ดี และนำเสนอข้อเท็จจริง ถือเป็นพื้นฐานในการทำตลาดแบบปากต่อปากระหว่างผู้บริโภค จะช่วยให้สามารถแพร่ข่าวสารออกไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ด้วยข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ SMEs ได้รับคามเชื่อถือวางใจจากผู้บริโภค และมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของสังคม ซึ่งจะทำให้ธุรกิจดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
507
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
425
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด