วัฏจักรของการทำธุรกิจเมื่อแข็งแกร่งในสินค้าประเภทหนึ่งย่อมคาดหวังที่จะมองไปถึงสินค้าประเภทอื่น

ถึงแม้จะไม่ใช่รูปแบบที่ถนัดแต่ก็มีวิธีการที่จะเข้าถึงฐานลูกค้าเหล่านั้นมากมายหลายวิธี หนึ่งในกระบวนการทางตลาดที่เราเห็นมานักต่อนักคือการผนึกกำลังหรือร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ที่ดีร่วมกันทั้งสองฝ่าย

และแน่นอนในการผนึกกำลังเหล่านี้ย่อมมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการเทียบเคียงคู่แข่งตัวฉกาจรายเก่าที่ถือว่าเป็นเจ้าของตลาดอยู่เก่าก่อนดังนั้นการร่วมมือกันแม้เป็นความคิดที่ดีแต่สิ่งสำคัญคือกลยุทธ์ที่ใช้นั้นต้องเหนือชั้นและทำให้ฐานการตลาดสั่นคลอนได้จริงๆ ในเรื่องนี้
 

www.ThaiFranchiseCenter.com มองว่าไม่มีกระแสไหนที่น่าสนใจเท่ากับที่ Dunkin’ Donuts ได้ผนึกกำลังกับโคคา-โคล่า ท้าชน Starbucks ผู้นำลำดับต้นๆในแวดงธุรกิจกาแฟตัวจริงเสียงจริงนั่นเอง

เรารู้จัก Dunkin’ Donuts ในเรื่องของธุรกิจกลุ่มขนมหวานจำพวกโดนัท ระยะหลังอาจจะมีเพิ่มเติมสินค้าต่างๆมากขึ้นแต่พูดถึง Dunkin ยังไงก็คิดถึง Donuts ก่อนอยู่ดีและหลังจากที่ทำธุรกิจ QSR (Quick Service Restaurant) มายาวนานผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งของ Dunkin ที่แตกไลน์ออกมาคือ “ผลิตภัณฑ์กาแฟเย็นพร้อมดื่ม” หรือ Ready-to-Drink Coffee ที่จะเริ่มวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปีหน้าหรือ 2017 เป็นต้นไป

 

เมื่อการตลาดแตกไลน์มาทางนี้แน่นอนว่าย่อมต้องหาทางเสริมทัพสร้างความแข็งแกร่งเพราะลำพัง Dunkin เองอาจไม่เจนจัดในการตลาดด้านนี้มากนักจึงเป็นที่มาของการผนึกกำลังร่วมมือกับ Coca-Cola ซึ่งตัวของ Coca-Cola เองก็มี

แบรนด์กาแฟแบบฉบับของตัวเองอยู่แล้วถึง 4 รสชาติคือ Original, Mocha, Espresso และ French Vanilla การร่วมมือกันครั้งนี้นอกจากทำให้ Dunkin มีแบรนด์กาแฟของตัวเองที่แข็งแกร่งขึ้น Coca-Cola ก็มีช่องทางการจัดจำหน่ายที่มากขึ้นด้วยทำให้การผนึกกำลังกันครั้งนี้สร้างฐานการตลาดที่ยิ่งใหญ่สามารถกระจายสินค้าไปถึงผู้บริโภคได้ทั้งร้านขายของชำ ร้านสะดวกซื้อ รวมถึงร้านสาขาของ Dunkin’ Donuts เองด้วย

 

เป้าหมายของ Dunkin คือการสร้างสินค้ากาแฟเพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่ได้มีทางเลือกที่มากขึ้นการผนึกกำลังกับ Coca-Cola จึงเท่ากับเป็นการอัพเกรดสินค้าตัวใหม่ให้ดูน่าสนใจ ทั้งนี้ความคาดหวังอีกประการที่ CEO ของ Dunkin กล่าวไว้คือ “เราเชื่อมั่นว่าเมื่อผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้ดื่มกาแฟพร้อมดื่มดังกิ้น โดนัทแล้ว จะกลับมาใช้บริการที่ร้านดังกิ้น โดนัทด้วยเช่นกัน”

 

ทั้งนี้ Dunkinเองก็มีแผนการตลาดที่จะออกแบรนด์ใหม่อย่าง Gold Peak ที่เป็นชาพร้อมดื่ม อีกทั้งยังร่วมมือกับ illy issimo และ Java Monster ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ถือเป็น Hybrid Coffee ที่มีกาแฟเกรดพรีเมี่ยมพร้อมดื่มในตลาดจำนวนมาก แน่นอนว่าความคาดหวังของ Dunkin คือแชร์ส่วนแบ่งการตลาดจากผู้นิยมบริโภคกาแฟที่เจ้าของส่วนแบ่งการตลาดรายใหญ่ปัจจุบันก็คือ Starbucks นั่นเอง
 

จะเรียกว่า Starbucks ไม่กระทบกระเทือนเรื่องนี้คงจะไม่ได้ เมื่อทาง Dunkin ผนึกกำลังกับ Coca-Cola ทาง Starbucks ก็ต้องขยายจุดแข็งของแบรนด์ตัวเองให้เข้มข้นเพื่อรักษาฐานการตลาดจึงเป็นที่มาของการร่วมมือกับ PepsiCo ในการจัดตั้ง THE NACP หรือ North American Coffee Partnershipเพื่อร่วมกันพัฒนาตลาดกาแฟพร้อมดื่ม และสินค้า

โดย PepsiCo รับหน้าที่ดูแลด้านการขายและกระจายสินค้าเข้าช่องทางร้านค้าปลีก ทำให้สามารถผลักดันแบรนด์ Starbucks ให้เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะที่บ้าน ระหว่างเดินทาง ที่ทำงาน หรือที่ไหนก็ตาม

ในขณะที่ PepsiCo ก็ต้องการเติมเต็ม Portfolio เครื่องดื่มให้มีความครบวงจรยิ่งขึ้น ซึ่งกาแฟพร้อมดื่มเป็นอีกหนึ่ง Category ที่ใหญ่และมีศักยภาพทางตลาดสูงมากด้วย และดูเหมือนว่ากลยุทธ์ของ THE NACP นี้จะค่อนข้างได้ผลดีทีเดียวดูได้จากยอดขายจากปีที่ผ่านมาซึ่งสูงกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว

 

ทั้งนี้ในรายของแบรนด์กาแฟระดับรองลงมาอาจมองดูว่านี่คือการชนกันของช้างสารที่ผลกระทบจะต้องกระเทือนมาถึงแบรนด์ชั้นกลางและสินค้าในกลุ่มกาแฟอื่นๆ อีกมาก

ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าสินค้านี่คือการสู้กันที่เกรดบนแน่นอนว่าสัดส่วนของคนระดับกลางนั้นยังมีส่วนแบ่งที่น่าสนใจไม่น้อยการปรับสินค้าตัวเองให้น่าสนใจโดยมีเป้าหมายยึดตลาดกลางเป็นหลักจึงน่าจะเป็นทางออกที่น่าสนใจไม่ต้องมองข้างบนจงมองในระดับที่ตัวเองอยู่ทำอย่างไรให้เป็นผู้นำในระดับนี้ซึ่งรายได้มหาศาลก็ตามมาไม่แพ้การสู้กันแบบเกรดพรีเมี่ยมแน่นอน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก  goo.gl/nG1osP , goo.gl/YziWCM