บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    ความรู้ทั่วไปทางการตลาด
3.0K
2 นาที
30 มิถุนายน 2560
4 จุดแข็งสินค้าหาซื้อยาก! แต่ลูกค้าติดตรึม

 
ธุรกิจในยุคนี้หลายคนมุ่งเป้าที่เชิงปริมาณแต่บางครั้งการทำสินค้าในเชิงคุณภาพที่ลูกค้าพบเห็นได้ยาก หาซื้อได้ยาก แม้จะดูขัดกับการตลาดแต่บางทีสินค้าที่ว่านี้ก็มีดีที่ทำกำไรได้อย่างน่าสนใจเช่นกัน การตลาดแบบสวนทางที่ว่านี้มักเกิดขึ้นกับสินค้าแบรนด์เนมทั้งหลายที่ใช่ว่ามีเงินหรือฐานะดีก็จะซื้อได้ สินค้าบางตัวต้องมีการสั่งจองล่วงหน้ามีการผลิตแบบอันลิมิเดต

แม้จะดูว่าไม่ทำกำไรสักเท่าไหร่แต่ในความจริงธุรกิจเหล่านี้มีกำไรดีทีเดียวที่สำคัญกว่านั้นทำให้ลูกค้ารู้สึกติดตามและก้าวตามแบรนด์ต่อไปไม่ใช่ลักษณะการทำตลาดแบบทั่วไปที่สินค้าจะเปลี่ยนไปตามผู้บริโภคเป็นหลัก
 
หนึ่งในตัวอย่างที่ www.ThaiFranchiseCenter.com คิดว่าน่าจะยกมาให้เห็นภาพกับการทำตลาดแนวนี้คือสินค้าแบรนด์เนมอย่าง Hermes ที่ใช้การกำหนดกลยุทธ์การตลาดด้วยการวางตำแหน่งสินค้าในจุดที่เอื้อมถึงได้ยาก แต่อีกด้านกลับทำให้สินค้ากลายเป็นที่นิยมและทรงคุณค่ามากขึ้น
 
ตำนานของ Hermes

 
ต้นกำเนิดของ Hermes มาจากการผลิตอานม้าโดยเมื่อปี 1837 หรือ 179 ปีที่แล้ว เทียรี่ แอร์เมส หนุ่มวัย 36 ลูกครึ่งเยอรมัน-ฝรั่งเศสได้เปิดร้านผลิตอานม้าทำมือเพื่อตอบสนองความต้องการของบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงในฝรั่งเศสและยุโรป และได้รับความนิยมอย่างสูงเนื่องจากความเลื่องชื่อในเรื่องงานฝีมือที่มีความละเอียดและปราณีต

ธุรกิจดำเนินอยู่ได้ด้วยสินค้าเพียงอย่างเดียวคือ “อานม้า” หลังหมดยุคของเทียรี่ ลูกชายของเขาคือ ชาร์ลส์ เอมิล แอร์เมส ก็เข้ามาสานต่อกิจการ พร้อมกับขยายไลน์สินค้าจากอานม้าไปเป็นสินค้าอื่น เช่น กระเป๋าหนังใส่สัมภาระสำหรับคนขี่ม้า และได้ตัดเสื้อแจ๊กเก็ตหนังสำหรับตีกอล์ฟติดซิปตัวแรกออกมา
 

ในยุคนั้น ซิปยังถือเป็นนวัตกรรมใหม่ จนถึงทศวรรษ 1920 Hermes เริ่มผลิตเสื้อผ้าและแอคเซสซอรี่อื่นๆ ออกมา โดยปี 1922 แนะนำกระเป๋าถือสตรีออกมาครั้งแรกชื่อรุ่น Sac a depeches ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นรุ่น Kelly ในปี 1923 Hermes ยุติการผลิตอานม้าแล้วหันมาเน้นสินค้าแฟชั่นอย่างเดียว และช่วงทศวรรษ 1930 Hermes ขยายตลาดออกนอกยุโรปเป็นครั้งแรกโดยการนำสินค้าไปวางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้า Neiman Marcus Department store ในนิวยอร์ก
 
 
แม้การแข่งขันในวงการสินค้าแฟชั่นระดับไฮเอนด์จะค่อนข้างดุเดือดเพราะช่วงหลัง ๆ มีแบรนด์ใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ความนิยมใน Hermes ก็ยังคงเส้นคงวา ดังจะเห็นจากปี 2012 ขณะที่แบรนด์หรูหลายเจ้าชะลอการเติบโต แต่ Hermes กลับเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่เคยต้องจ้างพรีเซนเตอร์โฆษณาสินค้าแต่อย่างใด

แค่การที่กลุ่มบุคคลผู้มีชื่อเสียงในวงสังคมทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ อาทิ ควีนอลิซาเบธที่สองแห่งอังกฤษ เจ้าหญิงเกรซ เคลลี่ ออร์เดรย์ เฮปเบิร์น ชารอน สโตนและดาราฮอลลีวู้ดจำนวนมาก รวมถึงวิคตอเรีย เบคแฮม อดีตนักร้องวงสไปซ์เกิร์ลผู้มีแอร์เมสในคอลเลคชั่นกว่า 100 ใบเป็นลูกค้าประจำของแอร์เมส พวกเขาก็กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้คนทั่วไปที่เงินถึงอยากเป็นสาวก Hermes ด้วย
 
4 จุดแข็งสินค้าหาซื้อยากแต่คนติดใจ

1.Brand Promise 

 
การทำสินค้าประเภทไม่เน้นเชิงปริมาณนี้สิ่งสำคัญอย่างแรกคือต้องรู้จักรักษาพันธสัญญาในการคงระดับคุณภาพที่สูง ดังนั้นเทคโนโลยีการผลิตจึงไม่ใช่ mass production คือการผลิตคราวละมาก ๆ หรือการใช้สายพานและเครื่องจักรในการผลิต แต่ควรให้ความสำคัญกับคำว่าฝีมือและใส่ใจกับความละเอียดทุกขั้นตอน เพราะสิ่งเหล่านี้คือคุณภาพที่ลูกค้าต่างคาดหวัง โดยสินค้าทุกชิ้นที่ออกมาจะสะท้อนความทุ่มเทของช่างหรือคนทำที่ลูกค้าสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นการคัดสรรวัสดุที่คุณภาพดีที่สุด ความปราณีตในงานฝีมือ และการสอดแทรกความคิดสร้างสรรค์ลงไปด้วย
 
2.Strong Brand Heritage 

 
คล้ายกับสินค้าที่ต้องมี Story ยิ่งจะทำให้สินค้านั้นดูทรงคุณค่ามากขึ้นอย่าง Hermes นั้นขายตัวเองด้วยอายุที่เก่าแก่กว่า 200 ปี ถือเป็นสินค้าที่ไม่ได้มีแค่ Story แต่นี้คือสินค้าที่เป็นตำนาน อันเป็นจุดขายอันดับหนึ่ง

รวมถึงการใช้โลโก้ตรารถม้าและสีส้มของกล่องบรรจุภัณฑ์จะทำให้ลูกค้าหวนนึกถึงอดีตความเป็นมาของแบรนด์ว่าเริ่มต้นแบบไหน และมีวิวัฒนการอย่างไร ที่สำคัญ Hermesไม่เคยขายลิขสิทธิ์แถมยังครอบครองและบริหารโดยคนในตระกูล Hermes ที่ส่งผ่านอำนาจ
ต่อ ๆ กันจนถึงปัจจุบัน
 
3.Innovative & Integration 


 
นั้นคือความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงาน การรู้จักปรับตัว ประยุกต์ใช้ และบูรณาการเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้แบรนด์อยู่ยั้งยืนยง แม้จะยึดหลักการทำงานตามแบบบรรพบุรุษ แต่ก็ไม่ลืมปรับตัวตามยุคสมัย หลังนวัตกรรมที่เรียกว่า “รถยนต์” เข้ามา ความต้องการอานม้าลดลง Hermes ได้พลิกวิกฤติ ไม่ปล่อยให้ธุรกิจตายไปพร้อมรถม้า แต่ได้ใช้โอกาสนี้สร้างสรรค์สินค้าหลากหลาย ปัจจุบัน สินค้าของ Hermes ครอบคลุมทั้งเครื่องหนัง เสื้อผ้า เน็คไท ผ้าพันคอ รองเท้า เครื่องประดับ น้ำหอม นาฬิกา และของแต่งบ้าน   
 
4.Market Positioning  
 

 
การทำตลาดในสินค้าประเภทนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายตัวเองให้ชัดเจนอย่าง Hermes นั้นกลุ่มเป้าหมายของคือลูกค้าระดับบนหรือ A+  สินค้า Hermes จึงไม่ได้มีวางจำหน่ายทุกตลาด บวกกับการตั้งราคาสินค้าที่ค่อนข้างสูง ทำให้ การเข้าถึงแบรนด์นั้นไม่ง่าย Shopของ Hermes ทั่วโลกเมื่อรวมกันแล้วจึงมีแค่ 300 กว่าแห่งเท่านั้น

โดยบริษัทพยายามขยายสาขาปีละไม่เกิน 1 ร้าน ความต้องการที่มากเกินกำลังการผลิต จึงทำให้ลูกค้าบางส่วนต้องลงชื่อจองและรอคิวกว่าจะได้มาครองสักชิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเจตนาของ Hermes เพื่อรักษาสถานะ “ความพิเศษ” “ความหรูหรา” ที่ไม่เหมือนใคร 
 
แน่นอนเช่นกันว่าสินค้าที่จะดำเนินกลยุทธ์การตลาดแบบนี้ได้นั้นต้องมีระยะเวลาในการสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับลูกค้ามาเป็นเวลานานหันมามองดูสินค้าในเมืองไทยหลายแบรนด์ก็มีความเก่าแก่เป็นสินค้าที่น่าจะทำให้เป็นตำนานที่ทรงคุณค่าได้แต่การทำธุรกิจแนวนี้ต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างมากซึ่งส่วนใหญ่ธุรกิจยุคนี้เน้นทำกำไรแบบเร็วๆ ไม่ต้องมากแต่ขอให้ได้ต่อเนื่อง จึงดูเหมือนว่าหากคิดทำตลาดแนวนี้ต้องมีใจรักในการทำพอสมควรทีเดียว
 
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมายไว้ให้ทุกท่านพิจารณากันตามความเหมาะสม ดูรายละเอียด goo.gl/Io5k2S
 
ขอบคุณรูปภาพจาก  goo.gl/Qexqm2
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
632
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
548
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
495
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
464
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
446
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
441
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด