บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
266
2 นาที
19 สิงหาคม 2568
หมดยุค! Solopreneur เป็นทุกอย่าง แต่ไม่โตสักอย่าง
 

ทำคนเดียว! รวยคนเดียว! รายได้ไม่ต้องแบ่งใคร ทำธุรกิจแบบนี้จะรวยจริงไหม หรือความจริงแล้วไม่ควรทำธุรกิจในรูปแบบนี้?
 
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จของธุรกิจที่จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อาจไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนเพียงอย่างเดียวบางธุรกิจมีหุ้นส่วนเยอะก็อาจทำให้การตัดสินใจช้ากว่าทำงานคนเดียว แต่ทำงานเป็นทีมก็มีคนช่วยคิดช่วยตัดสินใจ ทำให้การแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนาธุรกิจอาจทำได้ดีกว่า ดังนั้น จะทำคนเดียวหรือทำเป็นทีม มันขึ้นอยู่กับ “กระบวนการ” รวมถึงการปรับตัวให้ธุรกิจนั้นสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคด้วย
 
แต่ที่แน่ๆ ถ้าเลือกทำธุรกิจคนเดียวเท่ากับว่าเราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง และมีข้อเสียที่ควรรู้ได้แก่
  • ความรับผิดชอบสูง เพราะต้องรับผิดชอบทุกอย่างเพียงผู้เดียว
  • ทรัพยากรมีจำกัด เช่นเงินทุนจำกัด ความรู้จำกัด การพัฒนาธุรกิจให้เติบโตทำได้ยาก
  • ความเสี่ยงสูง เพราะทำงานคนเดียวหากเจ็บป่วยหรือ มีปัญหาส่วนตัวใดๆ จะกระทบธุรกิจทันที
  • ความเครียดสูง สัมพันธ์กับความรับผิดชอบในธุรกิจที่มีรอบด้าน
  • ขาดทักษะบางอย่าง เพราะคนเดียวไม่อาจมีความรู้ทุกอย่าง บางเรื่องก็อาจไม่เก่ง
  • โอกาสขยายสาขาทำได้ยาก เพราะการดูแลที่ไม่ทั่วถึง เนื่องจากทำงานคนเดียว

มีตัวอย่างของร้านอาหารบางแห่งที่อร่อยมาก ลูกค้าเยอะ แต่เจ้าของทำคนเดียวดูแลทุกอย่าง มีเพียงพนักงานช่วยเสิร์ฟในร้านแค่ 2-3 คนเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นธุรกิจที่รายได้ดี แต่ก็เป็นเหมือนระเบิดเวลาหากมีข้อผิดพลาดนิดเดียวธุรกิจนี้จะหยุดชะงักได้ทันที เช่น เจ้าของร้านเจ็บป่วย , ขาดแคลนพนักงานประจำร้าน
 
ที่สำคัญธุรกิจที่ทำคนเดียวสิ่งที่ต้องเสียไปแน่ๆคือ “เวลา” จะไม่สามารถปลีกตัวไปทำอย่างอื่นได้เลย เพราะทั้งวันต้องอยู่ร้าน เริ่มตั้งแต่เช้าจัดหาวัตถุดิบเข้าร้าน , จัดสต็อคสินค้า , เริ่มเปิดร้าน , ทำอาหารตามออร์เดอร์ , ดูแลปัญหาภายในร้าน , เช็คสต็อคสินค้าหลังเลิกงาน , ตรวจสอบบัญชียอดขายในแต่ละวัน ซึ่งทำให้มีเวลาพักผ่อนน้อย เช้าวันต่อมาก็ต้องวนลูปมาเริ่มต้นกันใหม่ เป็นแบบนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี
 
ถ้าลองเปรียบเทียบร้านอาหารแบบทำคนเดียวกับ แบบร้านอาหารที่มีระบบ ก็จะมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันคือ

เกณฑ์ ร้านอาหารทำคนเดียว ร้านอาหารมีระบบ
ความเร็วเปิดร้าน เร็ว (2–4 เดือน) เพราะตัดสินใจเอง ช้ากว่า (4–8 เดือน) เพราะต้องวางระบบ + ฝึกทีม
กำลังการผลิต มีจำกัดเพราะเจ้าของทำหลายหน้าที่ มีมากกว่าเพราะมีพนักงานครัว เสิร์ฟ แคชเชียร์
รายได้ต่อวัน (ร้านกลางๆ) 5,000–15,000 บาท 20,000–80,000 บาท
ต้นทุนแรงงาน ต่ำ (10–20% ของรายได้) สูง (25–35% ของรายได้)
ความเหนื่อย สูงมาก ทำทั้งหมด เสิร์ฟ บริหาร แบ่งหน้าที่ ลดภาระเจ้าของ
โอกาสขยายสาขา แทบไม่มี เพราะต้องอยู่ร้านเอง สูง สามารถเปิดหลายสาขาได้
 

ซึ่งการทำธุรกิจแบบมีระบบจะเพิ่มโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจได้มากกว่า แม้จะมีต้นทุนด้านบุคลากรที่เพิ่มขึ้นแต่ก็แลกมาด้วยรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน สำหรับคนที่ทำธุรกิจคนเดียวอาจค่อยๆ เริ่มมาสนใจในการพัฒนาระบบร้านเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้มากขึ้น มีขั้นตอนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงคือ
 
1.จดบันทึกทุกงานที่ทำ สร้าง SOP จากประสบการณ์จริง
 

ไม่ใช่เรื่องยากยิ่งเจ้าของที่เคยทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ลองจดรายละเอียดที่ตัวเองต้องทำทุกอย่างไว้ เช่น ก่อนเปิดร้านทำอะไร , เตรียมวัตถุดิบอย่างไร , เซ็ตอุปกรณ์แบบไหน , จัดวางอุปกรณ์ในร้านอย่างไร ยิ่งจดรายละเอียดได้ดีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถ่ายทอดให้คนอื่นทำตามได้ดีมากขึ้นเท่านั้น เป็นพื้นฐานของการสร้างระบบที่ลดภาระตัวเองได้
 
2. เขียนปัญหาประจำวัน + วิธีแก้ 
 

ทุกวันที่เปิดร้าน จะมีปัญหาใหม่ๆ เกิดขึ้น การจดบันทึกวิธีแก้ปัญหาไว้ทุกอย่าง เช่นแก๊สหมด , ไฟไม่ติด , เครื่องชำระเงินเสีย , พนักงานขาดลามาสาย , สต็อควัตถุดิบไม่พอ ฯลฯ ยิ่งมีปัญหามาก มีวิธีแก้ไขมาก ก็ยิ่งทำให้มีข้อมูลมากสำหรับการถ่ายทอดสู่พนักงานเพื่อสร้างระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
 
3. คำนวณกำไรใหม่ รายได้ตัวเองลดลง
 

เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ทำธุรกิจคนเดียวคือคิดว่าไม่อยากจ้างคนอื่น ไม่อยากแบ่งรายได้ให้ใคร กลัวรายได้ตัวเองลด แต่ถ้าคิดในอีกมุมเช่นรายได้ 50,000 เราเก็บหมด แต่จะเหนื่อยมาก ไม่มีเวลาพัก ไม่มีโอกาสเติบโตขยายสาขา แต่ถ้าลองจ้างพนักงานสัก 2 คน เงินเดือน 15,000 (2 คน = 30,000) กำไรจะเหลือ 20,000

แต่สิ่งที่จะได้คือการเปิดร้านที่มีระยะเวลานานขึ้นหรือเรามีเวลาไปหารายได้จากทางอื่นเพิ่มขึ้น รายได้ของร้านจากที่เคยได้ 50,000 ก็อาจจะเพิ่มเป็น 80,000 – 100,000 หักลบต้นทุนแล้ว ก็เท่ากับรายได้ไม่ลดลงจากตอนที่เคยทำคนเดียว แต่มีโอกาสเติบโตและลดภาระตัวเองได้อย่างมาก
 
อย่างไรก็ดีสำหรับคนทำธุรกิจใหม่ๆในช่วงแรกอาจทำคนเดียวไปก่อนได้เพื่อสะสมประสบการณ์ เรียนรู้ปัญหา เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า ในระหว่างนั้นก็สะสมความรู้ ผสผมสานการสร้างระบบบริหารจัดการร้าน ควรให้เป็นธุรกิจที่มีระบบบริหารจัดการภายใน 2-3 ปี อันจะเป็นผลดีและเป็นเคล็ดลับสู่ความสำเร็จทางธุรกิจที่ยั่งยืนได้ในอนาคต

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
626
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
537
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
493
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
463
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
439
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
437
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด