คิดอย่างนักบริหาร

แปรรูปความคิดให้เป็นธุรกิจ อาจเป็นเพราะ "ศุภชัย เจียรวนนท์" ผู้บริหารระดับสูงของทรู (True) เป็นทายาทของ "เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์" ด้วย จึงทำให้เขาต้องแบกภาระอย่างหนัก ทั้งในเรื่องของการนำพา True ก้าวเข้าไปในธุรกิจสื่อสารอย่างครบวงจร

หากเขายังจะต้องพิสูจน์นามสกุลเจียรวนนท์ ให้หลายคนรับรู้ด้วยว่าเขาเองนั้น แม้จะเป็นลูกธนินท์ ที่ถือเป็นกระบี่มือหนึ่งของยุทธจักรธุรกิจในเมืองไทย แต่สำหรับเขาเองนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพ่อเท่าไหร่

"ศุภชัย" เคยให้สัมภาษณ์นิตยสารผู้จัดการ เมื่อครั้งที่เขาเข้ามารับผิดชอบ บริษัท เทเลคอม เอเชีย หรือ TA ในยุคแรกๆ ว่า...ผมว่าไม่เคยมีใครในซีพีเคยผ่านวิกฤตแบบนี้มาก่อน สมัยลดค่าเงินบาทครั้งที่แล้ว ซีพีไม่ได้ผลกระทบแบบนี้ ผู้บริหารเองท่านก็อายุมากแล้ว

"คงอยากให้เด็กๆ ทำ ผมเลยรับมาเต็มๆ ในสถานการณ์แบบนั้น มันทำใจยาก เพราะเราต้องบินไปให้เขาด่า ผมเลยรับมาเต็มๆ ในสถานการณ์แบบนั้น มันทำใจยาก เพราะพอเขาด่าเสร็จ เขาก็เดินออกไปเลย" เพราะขณะนั้น TA เป็นหนี้ถึง 90,000 ล้านบาท

เป็น 90,000 ล้านบาท ที่ "ศุภชัย" จะต้องจัดการทั้งหมด ทั้งๆ ที่ขณะนั้นเขาอายุยังไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เขาเป็นนักบริหารรุ่นใหม่

มีความคิดเชิงการจัดการที่ก้าวไกล จึงทำให้ภาระหนี้ค่อยๆ ลดลง และยิ่งเมื่อเขาไปเมิร์ซธุรกิจกับบริษัท Orange จนกลายเป็น TA Orange ภาพของ Orange จึงยิ่งชัดเจนขึ้น จนทำให้ลูกค้ารู้จัก Orange อย่างรวดเร็ว

พร้อมกันนั้น เขาก็จ้างนักบริหารมืออาชีพเข้ามาช่วยระดมสมองอย่าง "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ด้วย ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของ Orange โดดเด่นขึ้นมา แต่เมื่อ "อภิรักษ์" ต้องออกไปสมัครผู้ว่าฯ กทม. "ศุภชัย" จึงคิดที่อยากจะรีแบรนด์ เพราะเขามองเห็นว่าการแข่งขันในธุรกิจสื่อสารนั้นจะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้

เมื่อ TA Orange เป็นช่องทางหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เขาก็ควรที่จะรีแบรนด์จากบริษัท เทเลคอม เอเชีย หรือ TA ให้กลายเป็นอีกแบรนด์หนึ่งที่จำง่าย และสื่อความหมายชัดเจน

ที่สุดจึงเกิดแบรนด์ "True" หรือ "ความจริง" ขึ้น เกมธุรกิจตรงนี้ สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักเขาเลย อาจมองว่า เขาคิดได้อย่างไร เพราะกลเกมการตลาด การประชาสัมพันธ์ที่ถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้ชาวบ้านร้านตลาดต่างรู้จัก True ไปทั่ว

"ศุภชัย" เคยพูดถึงเรื่องนี้ว่า...เดิมเราเป็นบริการสาธารณูปโภค ใครต้องการก็ต้องวิ่งเข้ามาหาเรา เพราะเป็นของจำเป็น อีกอย่างคู่แข่งมีไม่มาก การสร้างแบรนด์จึงไม่จำเป็น แต่ทีเอในยุคที่ 2 ไม่ใช่แล้ว เราวางตัวเองเป็น solution provider เป็นผู้รวบรวมเนื้อหา และ applications ต่างๆ

"เป็นจุดที่จะต้องสร้างแบรนด์ และต้องไม่เหมือนกับอดีต คือเป็นการ transform ตัวเอง เพื่อจะก้าวไปอีกขั้น ถ้าเราเปลี่ยนในจังหวะที่ถูกต้อง เราจะอยู่ใน position ที่ดีไปอีก 10 ปี"

ปรากฏว่า "ศุภชัย" ตอบโจทย์ที่ตัวเองคิดอย่างถูกต้อง เพราะทุกวันนี้ไม่ว่า TA Orange หรือ True ต่างเข้าไปอยู่ในใจของประชาชนทุกคนแล้ว

ผลจากความสำเร็จครั้งนี้ เมื่อย้อนกลับไปดูภาพของ "ศุภชัย" ในวัยเด็กจะเห็นว่าในบรรดาลูกๆทั้งหมด 4 คน ซึ่งเขาเป็นลูกชายคนที่ 2 นั้น เขามักจะอยู่ใกล้ชิดกับ "เจ้าสัวธนินท์" มากที่สุด

ชนิดที่เรียกว่าถ้า "เจ้าสัวธนินท์" รุกธุรกิจไปประเทศไหน เขาจะต้องบินตามไปเรียนหนังสือที่นั่น แม้กระทั่งการตัดสินใจเรียนปริญญาตรี ซึ่งแรกเริ่มเดิมที เขามีความคิดที่จะเรียนวิศวะ แต่เมื่อปรึกษาพ่อ เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนไปเรียนบริหารธุรกิจ "ศุภชัย" บอกว่า ที่ผ่านมาเขามักคิด ตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองตลอด มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ถามพ่อ เพราะเขาอยากที่จะเดินรอยตามแบบพ่อ

เมื่อพ่อบอกว่า เมื่อเขาต้องการที่จะเป็นนักธุรกิจ ก็อย่าไปเรียนวิศวะเลย ไปเรียนบริหารธุรกิจดีกว่า เขาจึงตัดสินใจเรียนบริหารธุรกิจ สาขาการเงินที่ Boston University ประเทศสหรัฐอเมริกา

"ศุภชัย" บอกว่าที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ พวกยิวชอบมาเรียนกันมาก และบรรยากาศของที่นี่ต่างเต็มไปด้วยบรรยากาศของการค้า ตรงนี้กระมังจึงทำให้ผมชอบคิด และชอบที่จะทำธุรกิจใหม่ๆ อะไรออกมา

คงจะจริง เพราะทุกวันนี้ "ศุภชัย" คงยังไม่ยอมหยุดคิด เพราะเขาคิดว่าในการทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม หากเราหยุดคิด นั่นเท่ากับเราแพ้ตัวเอง ฉะนั้น การที่จะชนะตัวเอง ทั้งชีวิต ความคิด ธุรกิจ วิธีคิดเท่านั้นที่จะทำให้เรา หรือธุรกิจของเราเติบโต

ยิ่งธุรกิจของเขาเป็นธุรกิจสื่อสารด้วยแล้ว วิธีคิดจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ และเขาก็ไม่ใช่แต่คิดเท่านั้น หากเขายังนำความคิดเหล่านั้นไปปฏิบัติอีกด้วย
 

เพราะเขาเชื่อเหมือนอย่างที่ "พ่อ" เคยบอกว่า เมื่อตัดสินใจเป็นนักธุรกิจต้องหมั่นคิด และเมื่อคิดออกแล้ว ก็อย่าไปหลงระเริงกับความคิดนานจนเกินไป แต่จงรีบนำความคิดไปแปรรูปให้เป็นธุรกิจโดยเร็วด้วย ซึ่งเหมือนอย่าง True ในทุกวันนี้?

อ้างอิงจาก  เส้นทางเศรษฐี