บทความทั้งหมด    บทความแฟรนไชส์    การเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์    เรื่องราวความสำเร็จ
4.8K
2 นาที
19 กรกฎาคม 2554

ถอดคัมภีร์ 20 ปี แฟรนไชส์ 7-11 ปูพรมเสิร์ฟอิ่มสะดวก

เปิดกลยุทธ์สู่ความสำเร็จแฟรนไชส์ 7-11 หลังแจ้งเกิดครบรอบ 20 ปี มุ่งเป้าขายอาหารอิ่มทันใจ ชี้อัตราซื้อซ้ำสูง กำไรงาม และเพิ่มช่องกระจายวัตถุดิบบริษัทแม่ ตั้งเป้าปูพรม 7,000 สาขาทั่วประเทศในอีก 2 ปี พร้อมเร่งมอบส่งไม้บริหารแก่แฟรนไชส์ซี่ หนุนขยายเครือข่าย ยอมรับตลาดร้านค้าปลีกสมัยใหม่แข่งดุ ระบุหากปรับตัวพร้อม โอกาสโตยังเปิดกว้าง

นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น อีเลฟเว่น” (7-11) เผยในงานแถลงนโยบายร้าน 7-11 ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการเปิดแฟรนไชส์ในเมืองไทยว่า บริษัทฯ ซื้อลิขสิทธิ์ร้าน 7-11 มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีพ.ศ. 2532 และเริ่มขายแฟรนไชส์ใน พ.ศ.2534 จำนวน 9 สาขา ปัจจุบันเพิ่มเป็น 6,094 สาขา แบ่งเป็นสัดส่วนแฟรนไชส์ 3,153 สาขา หรือ 52% และบริหารโดยบริษัท 2,941 สาขา หรือ 48% (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2554) และเชื่อว่าถึงสิ้นปีนี้(2554) สัดส่วนแฟรนไชส์จะเพิ่มเป็น 53% โดยมีสาขาเพิ่มจากปีก่อน (2553) 500 สาขา แบ่งเป็นของแฟรนไชส์ ประมาณ 400 สาขา และบริษัทประมาณ 100 สาขา
      
สำหรับนโยบาย 7-11 จากนี้ ยังคงมุ่งสานต่อกลยุทธ์เป็นร้านขายอาหารอิ่มสะดวกของคนไทยที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมุ่งเน้นขายอาหารกินเป็นมื้อ ซึ่งในอดีตสัดส่วนรายได้ของร้าน 7-11 จากส่วนอาหารเพียง 20% และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ 80% แต่ปัจจุบัน สัดส่วนในกลุ่มแรกเพิ่มเป็นกว่า 70% ขณะที่กลุ่มหลังลดเหลือ 30% และตั้งเป้าว่า อนาคตจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายกลุ่มอาหารให้ถึง 80%
      
“การวางกลยุทธ์เน้นขายอาหารสด เพราะเราอยากสร้างจุดแตก ไม่ต้องไปแข่งขันกับร้านโชวห่วย หรือมินิมาร์ทรายอื่นๆ รวมถึง อาหารเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ทำให้มีอัตรากลับมาซื้อซ้ำสูง และกำไรต่อหน่วยสูงกว่า โดยกลุ่มอาหารกำไรกว่า 30% ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ 10% เท่านั้น และที่สำคัญ บริษัทแม่ มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบ และทีมงาน สามารถผลิตและป้อนสินค้าให้ได้สม่ำเสมอ” กก.ผจก. เผย

สำหรับเป้าหมายแฟรนไชส์ 7-11 ในอีก 2 ปีข้างหน้า จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 7,000 แห่งทั่วประเทศ มุ่งทำเลถนนตัดใหม่ ควบคู่กับขยายสัดส่วนบริหารโดยแฟรนไชส์ซี่เติบโตต่อเนื่องปีละ 3% ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องการสร้างคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจร้าน เพื่อสร้างและขยายเครือข่ายธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะก่อประโยชน์ให้ทั้งส่วนบริษัท มีช่องทางกระจายสินค้ามากยิ่งขึ้น พร้อมกับได้สร้างอาชีพที่มั่นคงแก่คนรุ่นใหม่ และยังทำให้ระบบค้าปลีกของประเทศมีความก้าวหน้าอีกด้วย
      
นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ การแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหม่ที่เปิดโดยห้างค้าปลีกรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ร้าน 7-11 ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดมาเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 50% ซึ่งจากระบบที่วางมายาวนาน ประกอบกับกลยุทธ์การตลาดที่ปรับตัวอยู่เสมอ รวมถึงแบรนด์ที่ลูกค้ายอมรับและจดจำ ผนวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ที่คาดว่าปีนี้ GDP จะโต 4.5% จึงเชื่อว่า โอกาสของธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่จะขยายตัวขึ้นยังเป็นไปได้สูง

สำหรับแนวทางสำคัญในการบริหารแฟรนไชส์ 7-11 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คือ ปรับตัวและพัฒนาตลอดเวลา ทั้งส่วนเจ้าของร้านสาขา กับส่วนกลาง กล่าวคือ ในส่วนเจ้าของร้าน ทางบริษัทจะจัดอบรมความรู้ที่จำเป็นแก่แฟรนไชส์ซี่ตลอดทั้งปี เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และมีทีมปฏิบัติลงพื้นที่เข้าไปดูแลและแนะนำสาขาทุกสัปดาห์
      
ขณะที่ส่วนกลาง ปรับตัวให้มีสินค้าและบริการตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะหันมาเน้นขายกลุ่มอาหาร ประกอบกับจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง นำเทคโนโลยีระบไอทีมาใช้เก็บข้อมูลสถิติต่างๆ รวมถึง มีระบบคลังสินค้าที่สมบูรณ์ แบ่งเป็นคลังใหญ่ 4 จุด ได้แก่ ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ส่วนภาคเหนือ และใต้ อีกอย่างละแห่ง อีกทั้ง มีคลังเล็ก กระจายอยู่ทั่วประเทศ ช่วยกระจายสินค้าที่ต้องการความสดใหม่ เช่น อาหาร และหนังสือพิมพ์ ให้ถึงมือลูกค้าได้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น พร้อมระบบคัดเลือกสินค้า เพื่อหมุนเวียนสินค้าที่ลูกค้าต้องการจริงๆ เข้ามาขายในร้าน

ผู้บริหารแฟรนไชส์เจ้าดัง เผยด้วยว่า ในแต่ละปีจะมีผู้สนใจขอเปิดร้าน 7-11เกือบหนึ่งหมื่นราย แต่ผ่านการคัดเลือกเพียง 5% เท่านั้น สำหรับหลักพิจารณา สำคัญที่สุด ต้องรักงานบริการ ตามด้วยควรมีประสบการณ์ทำงานจริงมาก่อน มีเวลา บริหารเต็มที่ อายุควรมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยผู้ได้รับคัดเลือกจะต้องผ่านการฝึกอบรมจากบริษัท ทั้งด้านบริหารร้าน บริหารพนักงาน บริหารสินค้า ฯลฯ เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จต่อไปได้

ในส่วนการลงทุนนั้น มีให้เลือก TYPE B อยู่ที่ 480,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ อีก 1,000,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) และ TYPE C อยู่ที่ 1,730,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ 900,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) ซึ่งปัจจุบัน การเปิดร้านแฟรนไชส์เซเว่นฯ แทบทั้งหมดกว่า 95% จะเป็นร้านของบริษัทที่ให้ผู้สนใจ เลือกลงทุนไปดำเนินกิจการต่อ ส่วนการเปิดร้านจากทำเลของผู้ลงทุนเอง มีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น
      
ด้านผลตอบแทนของแฟรนไชส์ซี่ แบบ TYPE B มาจากผลตอบแทนจากการบริหาร และกำไรส่วนเพิ่ม อัตราคืนเงินลงทุนประมาณ 5-6 ปี ส่วนแบบ TYPE C จะมาจากยอดขายหักต้นทุน ซึ่งแฟรนไชส์ซี่จะได้ส่วนแบ่งกำไร 54% บริษัทได้ส่วนแบ่งกำไร 46% อัตราการคืนทุนประมาณ 10 ปี โดยเฉลี่ยลูกค้าที่เข้าร้าน 7-11 จะใช้จ่ายประมาณ 40-50 บาทต่อคนต่อครั้งที่เข้าร้าน แต่ละสาขาจะมีรายได้เฉลี่ยอย่างต่ำ 40,000-50,000 บาทต่อวัน (แล้วแต่สาขา และขนาดร้าน)
      
ขณะที่อัตราการยกเลิกกิจการของผู้ลงทุนแฟรนไชส์ 7-11 อยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสาเหตุใหญ่มักเกิดจากความไม่พร้อมส่วนตัวของแฟรนไชส์ซี่ เช่น ไม่มีเวลามาดูแล ขาดทายาทสืบต่อธุรกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อัตราดังกล่าว เมื่อเทียบกับการยกเลิกร้าน 7-11 ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ถือว่าต่ำมาก


อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

บทความแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
6 แฟรนไชส์บริการ! สร้างรายได้ 24 ชม.
887
ลงทุนตามเทรนด์ฮิต! 7 แฟรนไชส์ไอเดียเงินล้าน ปี ..
625
ตั้งแถวใหม่ 10 แฟรนไชส์ น่าลงทุน ครึ่งปีหลัง 68
561
แฟรนไชส์ชาจีน Good Me 古茗 ดังจนถูกก๊อป 600 สาขา
515
“ปิ้งย่าง” ธุรกิจหมื่นล้าน! มีแฟรนไชส์ไหน น่าลง..
498
Shake Shack จากรถเข็นขายฮอทดอกในนิวยอร์ก สู่แฟรน..
478
บทความแฟรนไชส์มาใหม่
บทความอื่นในหมวด