บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
3.4K
3 นาที
6 มิถุนายน 2562
กลวิธี Managing Organization ปรับองค์กร 5.0


ภาพจาก https://pixabay.com

การจัดองค์การ เป็นกระบวนการจัดโครงสร้างขององค์การทั้งหมด การแบ่งงาน การกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบให้ผู้ปฏิบัติงาน การกำหนดกลุ่มงาน การกำหนดความสัมพันธ์ในสายการบังคับบัญชาและการประสานงานของหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งการจัดทรัพยากรให้กับหน่วยงานต่างๆ การจัดองค์การจึงครอบคลุมการจัดงาน จัดคน และ วัตถุสิ่งของทั้งหมดขององค์การ
 
Organizational Design การพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์การ มีองค์ประกอบ 6 อย่าง
 
1.Work specialization ความชำนาญงาน เลือกคนให้เหมาะกับงานให้ตรงกับเนื้องานให้ ได้มากที่สุด

โดยเริ่มวางโครงสร้างของคน จากคุณสมบัติ อายุ เพศ และการศึกษา สาขาวิชาที่เรียน เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน แบ่งงานออกเป็นขั้นตอน และใช้พนักงานคนละกลุ่มในแต่ละขั้นตอนบ้าง เพื่อสนับสนุนกัน จะทำให้พนักงานเกิดความชำนาญมากขึ้น 
 
2.Departmentalization การจัดฝ่ายและแผนกงาน แตกออกได้เป็น 5 รูปแบบ


ภาพจาก https://pixabay.com
  • Functional Departmentalization แบ่งตามหน้าที่ที่ปฏิบัติ
  • Product Departmentalization แบ่งกลุ่มงานตามผลิตภัณฑ์
  • Geographical Departmentalization แบ่งกลุ่มงานตามอาณาเขตขาย
  • Process Departmentalization แบ่งตามกระบวนการผลิตสินค้าขององค์การ
  • Customer Departmentalization แบ่งกลุ่มงานตามลักษณะลูกค้าองค์การ
3.Chain of Command การจัดสายบังคับบัญชา จากผู้บริหารสูงสุดลดลงมาถึงผู้ปฏิบัติงาน
 
ระดับล่างสุด เป็นการชี้ให้เห็นว่าผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนขึ้นตรงกับใคร หรือจะต้องรายงานต่อใครเป็นขั้นตอนจะช่วยลดช่องว่างและอุดรูรั่วได้มากขึ้น ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับหัวหน้างานหรือหัวหน้าแผนกที่ต้องเข้าใจหลักการบริหารทีมให้เกผลลัพธ์กตอบสนองตามแผนรวมขององค์กรให้ได้ด้วย
 
4.Span of Control การจัดช่วงการบังคับบัญชา


ภาพจาก https://pixabay.com

การกำหนดความสามารถของผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งควรมีผู้ใต้บังคับบัญชากี่คนจึงจะบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล สูงสุด

5.Centralization and Decentralization การรวมอำนาจและกระจายอำนาจ
  • การรวมอำนาจ คือ การที่การตัดสินใจรวมศูนย์อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์การ
  • การกระจายอำนาจ คือ การมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชาระดับรองทำการตัดสินใจ
6. Formalization การจัดระเบียบงาน การกำหนดมาตรฐานของงานต่างๆในองค์การ กำหนด กฏเกณฑ์ ระเบียบปฏิบัติ และวิธีปฏิบัติให้กับพนักงาน


ภาพจาก https://pixabay.com
  • หากมีมาก (Highly formalized)  พนักงานขององค์การนั้นแทบจะไม่ต้องใช้ดุล พินิจในการปฏิบัติงาน เพราะต้องทำตามกฏระเบียบทุกอย่าง
  • หากมีน้อย (Low formalized) พนักงานจะมีความเป็นอิสระในวิธีการปฏิบัติมากCommunication  การติดต่อสื่อสารในองค์กร เป็นการถ่ายโอนและการทำความเข้าใจในความหมาย (transfer and understanding of meaning) ดังนั้นการติดต่อสื่อสารจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อ สามารถส่งผลต่อความหมายและผู้รับเกิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง
  • การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) 
  • การติดต่อสื่อสารระหว่างองค์กร (Organizational Communication)
Functions of Communication หน้าที่ของการติดต่อสื่อสารที่สำคัญ 4 ประการ


ภาพจาก https://pixabay.com
 
  1. Control ควบคุมพฤติกรรมของพนักงาน ในสายการบังคับบัญชาของทุกองค์การ การปฏิบัติงานของ พนักงานตามที่กำหนดไว้ในคำอธิบายลักษณะงาน (Job description) จะต้องมีการติดต่อสื่อสาร และอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้บังคับบัญชาลำดับถัดขึ้นไป
  2. Motivation การสร้างแรงจูงใจพนักงาน ในการมอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บริหารจะต้อง อธิบายรายละเอียดของงาน เป้าหมายของงาน ลักษณะของผลงานที่ดี และวิธีปฏิบัติให้ได้ผลงานที่ดีขึ้น รวมทั้งผลตอบแทนที่จะได้หากผลงานดีขึ้น ซึ่งต้องอาศัยหารติดต่อสื่อสารที่ดีระหว่างผู้บริหารและพนักงาน
  3. Emotional Expression การทำงานร่วมกันของพนักงานภายในหน่วยงาน เป็นสังคมที่บรรดาพนักงาน มีความผูกพันธ์ และมีการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน จึงเป็นสถานที่ซึ่งพนักงานจะได้พูดคุยแสดงความรู้สึกต่างๆ ปรับทุกข์สุขกันตามธรรมชาติของสังคมมนุษย์
  4. Information พนักงานแต่ละคน แต่ละกลุ่มจำเป็นต้องได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับงาน เกี่ยวกับ หน่วยงาน เพื่อนร่วมงาน สิทธิประโยชน์ และข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ทั้งเป็นลายลักษณ์อักษรหรือเป็นวาจาหรือรูปแบบการติดต่อสื่อสารอื่นๆ
Organizational Communication รูปแบบทิศทางของการสื่อสาร


ภาพจาก https://pixabay.com
  • Downward communication การติดต่อสื่อสารจากผู้บริหารมายังพนักงานในรูปการแจ้งข่าวสาร คำสั่ง การประสานงานหรือการประเมินผลการทำงานของพนักงาน
  • Upward Communication การติดต่อสื่อสารจากพนักงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ในรูปแบบการรายงานผลการปฏิบัติงาน รวมทั้งการเสนอความเห็นของเสนอแนะต่างๆ ไปยังผู้บังคับบัญชา
  • Lateral Communication การติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงานในระดับเดียวกันขององค์การเดียวกัน เป็นการติดต่อสื่อสารในแนวนอน (horizontal) ทำให้เกิดความร่วมมือ หรือประสานงานกันเพื่อเกิดประโยชน์ขององค์การ
  • Diagonal Communication การติดต่อสื่อสารในองค์การเดียวกัน ข้ามแผนกงานและข้ามระดับสายการบังคับบัญชา
  • ปัญหาการติดต่อสื่อสารผ่าน internet
  • ปัญหาในเรื่องกฏหมาย และ ความปลอดภัยของข้อมูลข่าวสาร
  • ทำให้เกิดปัญหาพนักงานขาดการปฏิสัมพันธ์ (interaction) ต่อกัน
  • การจัดการทรัพยากรความรู้ขององค์การ
  • บทบาทการติดต่อสื่อสารในการให้บริการแก่ลูกค้า
  • การเลือกใช้คำอย่างมีศิลป์ในการติดต่อสื่อสาร
การจัดโครงสร้างองค์เพื่อจะสื่อสารตามสายการบังคับบัญชา ถือ เป็นการวางกลยุทธ์ เพื่อจัดแม่ทัพของแต่ละฝ่ายให้มีหน้าที่ดูแลและบัญชาการในขอบเขตที่เรากำหนดบทบาทหน้าที่ให้ครบถ้วนก่อนที่จะรับลูกทีมหรือพนักงานฝ่ายปฎิบัติการต่อไป เพื่อสร้าง Human Resource Management  ที่เรามักจะเรียกกันว่า การจัดการทรัพยากรมนุษย์ 
 
บทบาทและหน้าที่ของ Human Resource หรือแผนกบุคคล
 

ภาพจาก https://pixabay.com
 
องค์การที่เน้นความสำคัญด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ มีเป้าหมายมุ่งเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ความสามารถในการปฏิบัติงานของพนักงาน เพิ่มแรงจูงใจ ลดการทำงานแบบเฉื่อยชา รักษาพนักงานที่มีคุณภาพให้อยู่ในองค์การ และชี้นำให้พนักงานที่ด้อยประสิทธิภาพให้ออกจากองค์การ กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ 8 ขั้นตอน
  1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์
  2. การสรรหา
  3. หารคัดเลือก
  4. การปฐมนิเทศ
  5. การฝึกอบรม
  6. การประเมินผลการปฏิบัติงาน
  7. การจ่ายค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์
  8. การพัฒนาอาชีพ
Managing Generalization in the Workplace ช่วงอายุก็มีผลในการทำงานได้เช่นกัน

ภาพจาก https://pixabay.com
  • Baby Boomer  คือ กลุ่มคนที่อายุ 44 – 65 ปี จะเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา  อดทน ให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ   อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว  มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก คนกลุ่มนี้จะไม่เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจาก    มีความจงรักภักดีกับองค์กรอย่างมาก
  • Generation X  คือ กลุ่มคนที่อายุ 30 – 43 ปี มีลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work – life balance)  มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพังไม่พึ่งพาใคร มีความคิดเปิดกว้าง พร้อมรับฟังข้อติติงเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง
  • Generation Y   คือ กลุ่มคนที่อายุ 8 – 29 ปี เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี เป็นวัยที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบและไม่ชอบเงื่อนไข คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่าสิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร  อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน
บทความวันนี้ก็มาจากความรู้ของวิชา Managing Organization ยังมีปัญหาเรื่องของคนอีกมาก ที่จะมานำเสนอกันต่อในหัวข้อ Personality and Behavior ที่น่าสนใจ ก่อนที่จะไปคุยเรื่อง Type of Organizational Strategies หรือกลยุทธ์ระดับองค์กร ที่จะช่วยทำให้ธุรกิจ อยู่รอดท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่รุนแรงได้ 

กลยุททธ์การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) การสร้างมูลค่าเพิ่มหรือคุณค่าให้เกิดแก่กับคนที่สำคัญต่อองค์กรจะสามารถสร้างผลผลิตกับสินค้าและบริการในการสร้างคุณค่าที่ดีได้อย่างแน่นอน

 
อาจารย์อ๊อด น้ำดี
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ฟองสบู่ร้านอาหารแตก! วิกฤตที่คนทำร้านอาหารต้องรู..
703
10 คาเฟ่เขาหลัก จิบกาแฟกลางธรรมชาติ สัมผัสเสน่ห์..
554
กลยุทธ์โต้กลับ CP เปิด Lotus´s go fresh ใกล้ 7-E..
531
23 จิตวิทยาการขายขั้นเทพ ขายแบบไม่ขาย ฉบับใช้จริง
530
ซบเซาหนัก! 14 ร้านอาหารดังในไทย ปิดกิจการ ปิดสาขา
482
รวม 5 ธุรกิจไทยเอาใจวัยเกษียณ! ทำไมดีกว่า Gen Z
450
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด