หลายคนคงได้เห็นข่าวตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับห้างค้าปลีกอเมริกาทยอยปิดสาขากันรัวๆ โดยเฉพาะในปี 2019 มีการคาดว่าจะมีแบรนด์ค้าปลีกอเมริกาปิดตัวลงรวมกันมากกว่า 8,200 สาขา ล่าสุดแบรนด์ค้าปลีก Fred's, Sears, Kmart, Party City, Walgreens และ Barneys ก็เป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกที่เพิ่งประกาศปิดร้าน 
 

ขณะที่แบรนด์ Payless ก็ได้ประกาศว่า มีแผนจะปิดสาขาทั้งหมด 2,500 แห่ง ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แล้วห้างค้าปลีกที่เหลืออยู่จะมีวิธีการช่วยเหลือได้อย่างไร วันนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com มีข้อมูลมานำเสนอให้ทราบ
 

 

ภาพจาก bit.ly/2AOH3t4

ปัญหาของห้างสรรพสินค้าทั่วโลก เกิดขึ้นเนื่องจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของตลาดสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะการเกิดของ Amazon ที่ปัจจุบันเริ่มขยายฐานสินค้าครอบคลุมถึงเสื้อผ้าและแฟชั่น สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อยอดขายร้านค้า และห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา 
 

สำหรับการเกิดขึ้นของร้านค้าออนไลน์ ที่ประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกามีประมาณ 200 เว็บไซต์ในปีเดียว โดยร้านค้าออนไลน์แต่ละแห่งนั้น สามารถทำยอดขายได้มากถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี 
 

ดังนั้นเมื่อรวมยอดขายทั้งหมดที่ร้านค้าออนไลน์เหล่านี้ทำได้ ก็สามารถคิดเป็นยอดขายที่ร้านค้าปกติและห้างสรรพสินค้าต้องสูญเสียไปมากมายถึง $4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมีมูลค่าถึงเกือบ 140,000 ล้านบาทต่อปี
 

สร้างประสบการณ์การช็อปปิ้ง
 

ภาพจาก bit.ly/2MqoMr9

การดิ้นรนเอาตัวรอดของห้างสรรพสินค้าทั่วโลก หรือแม้แต่ในประเทศไทยเอง ได้กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจในยุคปัจจุบัน โดยหนึ่งในแนวคิดใหม่ล่าสุด ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในประเทศอังกฤษ และในไทยเองก็เริ่มทำแล้ว 
 

นั่นคือ การให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์การจับจ่ายใช้สอย” มากกว่าการเน้นขายสินค้าตามปกติทั่วไป “ทุกคนในเวลานี้ต่างพยายามหาคำจำกัดความใหม่ที่ไม่ใช่คำว่า “ร้าน” หรือคำว่า “ห้าง” อีกต่อไป” 
 

เหมือนกรณี “จัตุรัสกลางเมือง” หรือ Town Square จึงเริ่มปรากฏให้เห็น โดยเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา Apple ได้ประกาศเปิดร้านค้าสาขาใหม่ โดยเหล่าผู้บริหารของแอปเปิลเอง ได้กล่าวในงานเปิดตัวว่า “เราไม่เรียกว่าร้าน (Store) อีกต่อไป ณ ที่นี้เราเรียกมันว่าจัตุรัสกลางเมือง ชั้นวางสินค้าก็เปรียบได้กับถนนที่เต็มไปด้วยทิวแถวของต้นไม้ ที่มีไว้ให้คุณหลบแสงหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ ความฝันของเราคือการพยายามทำให้ร้านค้า สามารถเปลี่ยนเป็นศูนย์กลางของการพบปะคนให้สำเร็จ”

ภาพจาก  bit.ly/31WNaHG

 

ห้าง Harrods ก็ใช้การเดียวกัน ที่จะทำให้ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าในวันนี้ สามารถต่อสู้กับโลกออนไลน์ได้ ก็คือ ต้องสร้างความรักและชีวิตให้กับประสบการณ์การช็อปปิ้ง ร้านค้าและห้างสรรพสินค้า ควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า 3E นั่นคือ Emotion (อารมณ์), Environment (สิ่งแวดล้อม) และ Experience (ประสบการณ์) 
 

ดังตัวอย่างของห้าง Harrods ในกรุงลอนดอน ซึ่งมียอดขายโตเพิ่มขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ในปี ค.ศ. 2015 โดยไมเคิล วาร์ด (Michael Ward) ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารกล่าวว่า “ที่แฮร์รอดส์ ได้ลงทุนและให้ความสำคัญกับสินค้าทุกกลุ่ม 
 

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบิวตี้ จิวเวลรี่ หรืออาหาร ดังตัวอย่างการขยายแผนกสินค้าเด็ก ให้ครอบคลุมถึงสินค้าในกลุ่มไฮเอนด์อย่างกุชชี่ ดิออร์ โดลเช่แอนด์กาบบาน่า หรือเฟนดิ วิธีนี้ทำให้ห้างสามารถจูงใจผู้บริโภคจากทุกที่ ไม่ว่าพวกเขาจะบินมาจากปารีสหรือเบอร์ลิน เพราะที่นี่คือประสบการณ์การช็อปปิ้งอย่างครบครัน ที่จะหาไม่ได้ในห้างสรรพสินค้าใดในโลก”
 

ห้างสรรพสินค้าชั้นนำอีกแห่ง Selfridges ก็ปรับกลยุทธ์เพื่อจูงใจลูกค้า ด้วยการเน้นสร้างประสบการณ์ในการช็อปปิ้งเช่นกัน อย่างการปล่อยแคมเปญ Music Matters เป็นการตกแต่งห้างสรรพสินค้าให้มีส่วนพิเศษใหม่ 

ภาพจาก bit.ly/2ASFfzm

 

ที่เรียกว่า Ultra Lounge โดยเป็นเหมือนเวทีแสดงดนตรีอิสระ สำหรับนักดนตรีรุ่นใหม่ให้ได้แสดงผลงาน เพื่อตอบสนองตัวเลขการปิดตัวลงของผับต่างๆ ในกรุงลอนดอนที่มีมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปีที่ผ่านมา 
 

สำหรับห้างค้าปลีกในเมืองไทยนั้น ก็เริ่มที่จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงกิจกรรมเพื่อความบันเทิงมากขึ้น เพื่อดึงดูดลูกค้า และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับลูกค้า เรียกได้ว่า ไม่ปล่อยให้ห้างค้าปลีกเงียบเหมือนป่าช้านั่นเอง 
 

คุณผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 

 

 

อ่านบทความอื่นๆ จากไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ www.thaifranchisecenter.com/document

เลือกซื้อแฟรนไชส์ไทยขายดี เปิดร้าน www.thaifranchisecenter.com/directory/index.php

 

อ้างอิงข้อมูล

 

นักเขียน

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)