บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเงิน บัญชี ภาษี การลงทุน    ความรู้ทั่วไปทางการเงิน
4.6K
2 นาที
8 พฤศจิกายน 2562
เงินเดือน 15,000 ลงทุนขายของอะไร? กำไรงอกงาม
 

เงินเดือนสตาร์ทส่วนใหญ่เริ่มที่ 15,000 เป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในระดับปริญญาตรี แต่หากใครมีประสบการณ์และได้ทำงานกับบริษัทดีๆ อาจได้สตาร์ทที่มากกว่านี้ แต่ปัญหาไม่ใช่เรื่องว่าเงินเดือนเท่าไหร่แต่ปัญหาคือ “จะต่อยอดเงินเดือน” เหล่านี้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

www.ThaiFranchiseCenter.com มองว่ามนุษย์เงินเดือน 15,000 บาท ส่วนใหญ่มักจะมีความคิดว่าว่ามีรายได้น้อยแทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว จะนำเงินจากไปลงทุน 
 
บริหารเงินเดือน 15,000 บาทแบบ 60 : 30 : 10
 
ภาพจาก bit.ly/2CpGeI4

หากยังนึกไม่ออกว่าจะแบ่งเงินลงทุนอย่างไรให้ได้กำไร ลองดูวิธีการบริหารจัดการเงินเดือนที่มีน้อยนิดนี้ จะทำให้สามารถลงทุนได้เพียงใช้เงินเริ่มต้นเพียงไม่กี่พันบาท ซึ่งต้องเริ่มจากการแบ่งเงินเดือนที่ได้ออกเป็น 3 ส่วนก่อนที่จะเอาไปลงทุน เพื่อไม่ให้กระทบกับค่าใช่จ่ายประจำในแต่ละเดือน ในสัดส่วน 60 : 30 : 10 คือ
  • ค่าใช้จ่ายรายเดือน 60 % = 9,000 บาท
  • เงินสำหรับลงทุน 30 % = 4,500 บาท
  • เงินเก็บเอาไว้ใช้สำรอง 10 % = 1,500 บาท
สัดส่วนในการแบ่งเงินเดือน 3 ส่วนนั้นไม่ตายตัว โดยจะแบ่งยังไงก็ได้ไม่ว่ากัน อาจปรับเปลี่ยนเป็น  70 : 20 : 10 บ้าง บางเดือน 50 : 40 : 10 แต่ไม่ว่าจะแบ่งยังไงก็ตาม เงินเก็บสำรองจะต้องเป็น 10 % เสมอ เผื่อเอาไว้ใช้ในตอนจำเป็นหรือใช้ในยามฉุกเฉิน
 
นำเงินสำรอง 10% ไปฝากเป็นเงินออม
 
ภาพจาก bit.ly/2Nu6yHh

ซึ่งหลังจากที่แบ่งเงินเป็นสัดส่วนแล้ว เรานำเงินเก็บสำรอง 1,500 ไปฝากเป็นเงินออมทุกเดือนสะสมไว้เพื่อกินดอกเบี้ยหรือใช้เงิน 2,000 บาท ในการซื้อกองทุนสะสมรวมไว้ 1 กองทุน เป็นกองทุนแบบระยะสั้นผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี โดยเงินตอบแทนคือ 21.7% เป็นกองทุนประเภท ETF ที่มีการแบ่งจ่ายปันผลให้เป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ 3 เดือนแรก 6 เดือน และ 1 ปี

ที่สำคัญกองทุนนี้ไม่กำหนดเงินขึ้นต่ำในการซื้อกองทุนและมีค่าธรรมเนียมในการซื้อ-ขายต่ำ โดยมีค่าธรรมเนียมในการซื้อ-ขายที่ 0.10 การเลือกซื้อกองทุนให้เลือกค่าธรรมเนียมซื้อ-ขายให้ต่ำที่สุด เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมในการซื้อ-ขายเยอะนั่นเอง เงินที่ได้ก็เพิ่มขึ้นด้วย
 
นำเงินสำหรับ “ลงทุน” มาเลือกสินค้าจำหน่าย
 
การเลือกสินค้าจำหน่ายอาจเป็นความยากด้วยว่าไม่รู้จะเลือกสินค้าอะไรแบบไหน ภายใต้งบที่มีจำกัด และยังไม่มั่นใจด้วยว่ารับสินค้ามาแล้วจะขายได้ไหม หรือจะขายแบบไหนอย่างไรลองไปดูตัวอย่างกัน
 
รับสบู่และครีมบำรุงผิวมาขาย
 

ช่องทางในการจำหน่ายก็อย่าไปคิดมากโพสต์ขายทั้งในเฟซบุ๊ก ไลน์และไอจี ผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ เลือกสินค้าที่คนรู้จักจะช่วยให้ขายได้ง่าย และอย่าไปกลัวคู่แข่งเราต้องมั่นใจในตัวเองซะก่อน ลงทุนครั้งแรกๆอาจลองทำด้วยงบสัก 1,500 บาท ซึ่งข้อมูลจากผู้ที่เคยรับสบู่และครีมมาขายกับเงินจำนวนนี้จะได้สินค้าดังนี้
 
ครีมบำรุงผิว : ลงทุน 600 บาท ได้ครีมบำรุงผิว 20 ซอง ขายซองละ 50 บาท ได้เงิน 1,000 บาท กำไรจากการขาย 1,000 – 600 = 400 บาท
สบู่หน้าใส : ลงทุน 1,000 บาท ได้สบู่ 10 ก้อน ขายก้อนละ 150 บาท ได้เงิน 1,500 บาท กำไรจาการขาย 1,500 – 1,000 = 500 บาท
 
การขายสบู่และครีมบำรุงผิวถ้าเราขายได้เรื่อย ๆ และได้กำไรดีเลยสต็อกของเพิ่ม ยิ่งเราสต็อกของมากขึ้นต้นทุนก็ยิ่งต่ำลงทำให้เรามีกำไรจากการขายมากขึ้น จากยอดสั่งซื้อประจำจากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ที่สอบถามเข้ามาทางเพจเฟซบุ๊ก ซึ่งอาจทำให้มีรายได้รวมต่อเดือน 3,000 – 5,000 บาท ทั้งนี้ควรทำบัญชีแยกไว้ต่างหากและนำเงินที่ได้มาซื้อของสต็อกขายต่อ จึงไม่ต้องใช้เงินทุนที่ได้จากเงินเดือน 
 
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการเป็นตัวแทนขายคือหากเรามีลูกทีมหรือเป็นตัวแทนขายให้ทีม เราก็จะได้ส่วนต่างจากสินค้าอีก 10 – 20 % จากสินค้าโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรด้วย
 
ลงทุนรับเสื้อยืดมาขาย
 

ลองมาต่อยอดดูว่าถ้าการขายสบู่และครีมนั้นพอเดินหน้าไปได้เราควรหาสินค้าทางเลือกอื่นๆ มาช่วยเพิ่มรายได้และลดอัตราเสี่ยงหากสินค้าเดิมเริ่มขายไม่ออกจะได้มีตลาดใหม่ไว้คอยรองรับ ลองเลือกไปที่ตลาดเสื้อผ้า โดยเฉพาะเสื้อยืดทั้งหลาย ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 บาท ซื้อเสื้อยืดสีพื้นขนาดต่าง ๆ คละไซส์กันมาขายในราคา 120 บาทต่อตัว

ซึ่งสีพื้นส่วนใหญ่จะเป็นสีขาว เทา ดำ สีกรมท่า เพราะเป็นสีที่คนทั่วไปนิยมใส่กันและขายได้ง่ายไม่ตกเทรนด์ ในแต่ละวันสามารถขายได้ทั้งจากการขายออนไลน์และออฟไลน์ เปิดตลาดแรกๆ อาจเริ่มขายให้เพื่อนร่วมงานด้วยกันเพื่อให้มีการบอกต่อ หากขายได้สักเดือนละ  50 – 60 ตัว รายได้ประมาณ 6,000 – 7,200 บาท หักค่าต้นทุนค่าใช้จ่ายอื่นและค่าเช่าที่ในการขายเสื้อผ้าประมาณ 4,500 บาท ทำให้ได้กำไรประมาณ 1,500 – 2,700 บาท

 
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกลงทุนขายอะไรกับสินค้าอะไรสิ่งสำคัญคือ “ต้องลงแรง” และ “ขยัน” ไม่มีกำไรจากการขายสินค้าที่ได้มาแบบง่ายๆ ไม่เหนื่อย ซึ่งมนุษย์เงินเดือนควรมีวิธีบริหารจัดการเงินเดือนอย่างมีประสิทธิภาพ มีการแบ่งแยกบัญชีเป็นสัดส่วนเพื่อให้มองเห็นสถานการณ์การเงินตัวเองชัดเจน แม้รายได้อาจจะไม่ช่วยให้มนุษย์เงินเดือนดีขึ้นในทันทีแต่อย่างน้อยก็เป็นประสบการณ์และทำให้รายได้ 15,000 ต่อเดือนนั้นมีคุณค่ามากขึ้น
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ www.thaifranchisecenter.com/document/
 
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
10 อาชีพหลังเกษียณ ทำแก้เหงา แถมได้เงิน
792
แฉ! จริงมั๊ย ผู้ผลิตจน พ่อค้าคนกลางรวย
709
ยุคนี้ อยากรวยยาว! เซ็ทธุรกิจตัวเองให้เป็น Desti..
640
20 ไอเดียธุรกิจใหญ่ ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีหุ้นส่วน
521
เศรษฐกิจไม่ฟื้น! ไตรมาส 2 ไม่แพ้ไตรมาสแรก 14 ธุร..
438
10 เรื่องจริงที่คุณไม่รู้! อ.สมเกียรติ อ่อนวิมล
420
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด