บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
3.1K
2 นาที
11 ธันวาคม 2562
ตั้งเงินเดือน “พนักงานประจำร้าน” แบบไหน! ให้ธุรกิจไม่เจ๊ง
 

สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจไม่ใช่แค่ตั้งเป้าในเรื่องยอดขายอย่างเดียว รายจ่ายต่างๆ ก็ถือเป็นต้นทุนที่ธุรกิจต้องสนใจโดยเฉพาะ “ค่าจ้างพนักงาน” ที่มองเผินเราอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่พนักงานนี่แหละคือหัวใจของการอยู่รอดและเติบโตของธุรกิจ www.ThaiFranchiseCenter.com ได้รวบรวมวิธีการตั้งเงินเดือน “พนักงาน” สำหรับคนที่เปิดร้านค้าหรือคนที่ทำธุรกิจได้มีแนวคิดว่าควรตั้งฐานเงินเดือนแบบไหนอย่างไร ให้พนักงานพอใจและธุรกิจตัวเองอยู่รอดต่อไปได้
 
1. ฐานเงินเดือนตามขนาดของธุรกิจ


ภาพจาก facebook.com/crepesaday
 
การให้ระบุว่าเงินเดือนเท่าไหร่ของแต่ละธุรกิจต้องไปศึกษาโครงสร้างต้นทุนของแต่ละธุรกิจร่วมด้วย ตามหลักการของต้นทุนกำไรแล้ว เงินเดือนของพนักงานส่วนใหญ่ต้องอยู่ประมาณ 15-18% ของยอดขาย แต่ถ้าเราเป็นมือใหม่ในการเปิดร้านให้ลองสังเกตธุรกิจในแบบเดียวกับเราที่เปิดอยู่ใกล้เคียงกับเรา ดูว่าเขาตั้งฐานเงินเดือนให้พนักงานเท่าไหร่ ซึ่งการตั้งฐานเงินเดือนตามขนาดของธุรกิจตัวเองและธุรกิจใกล้เคียง จะเป็นการดึงดูดคนให้อยากเข้ามาสมัครงานเพราะฐานเงินเดือนของเราไม่แตกต่างจากเจ้าอื่น แต่ทั้งนี้อย่าลืมเรื่องปริมาณลูกค้า  กำลังการซื้อของคนในพื้นที่ รวมถึงหากเป็นร้านในต่างจังหวัดก็ต้องดูอัตราค่าแรงขันต่ำที่สัมพันธ์กับอำนาจการซื้อ ซึ่งร้านค้าต้องปรับอัตราค่าจ้างให้เหมาะสม เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้
 
2. จ่ายเงินเดือนตามกฏหมายแรงงานกำหนด


ภาพจาก facebook.com/mytaroto
 
ตามกฎหมายแรงงานกำหนดพนักงานมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำ (ในกรุงเทพมหานครอัตราค่าแรงขั้นต่ำอยู่ประมาณ 330 บาท/วัน) ซึ่งทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมง/วัน หรือไม่เกิน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ แต่หากเป็นพนักงานที่ต้องรับผิดชอบดูแลร้านโดยเฉพาะร้านค้าที่เปิดในห้างสรรพสินค้าซึ่งต้องมีการเปิด-ปิด ตามเวลาที่ห้างกำหนด ช่วงเวลาในการทำงานอาจมากถึง 10-12 ชั่วโมง/วัน

การจ่ายค่าแรงเราสามารถเลือกทั้งแบบรายวันและรายเดือน โดยผู้ประกอบนิยมจ่ายค่าแรงเป็น 2 ครั้ง เช่น ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน ซึ่งการจ้างพนักงานตามอัตรากฏหมายแรงงานกำหนดถือเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพในการบริหารงานของเจ้าของธุรกิจ ซึ่งหากกิจการมีผลประกอบการที่ดีเจ้าของธุรกิจก็ควรเพิ่มอัตราค่าจ้างให้สมเหตุสมผลกับคนทำงานมากขึ้นด้วย
 
3 .เงินเดือน+ คอมมิชชั่น


ภาพจาก bit.ly/35cyKVk
 
บางธุรกิจมีการตั้งฐานเงินเดือนไว้ไม่สูงแต่น่าสนใจตรง “คอมมิชชั่น” ที่เหมือนเป็นการกระตุ้นให้พนักงานขยันขายมากขึ้น ตั้งใจทำงานมากขึ้น เพื่อให้ตัวเองมีรายได้มากขึ้น และธุรกิจก็มียอดขายมากขึ้นด้วย การจ่ายผลตอบแทนแบบเงินเดือน+คอมมิชชั่น จึงเป็นเหมือนแรงจูงใจที่ดี สัดส่วนการคิดค่าคอมมิชชั่นของแต่ละธุรกิจจะแตกต่างกันไปตามสัดส่วนกำไรที่ได้

ซึ่งค่าคอมมิชชั่นมีทั้งแบบจ่ายตามยอดขาย เช่น ยอดขาย 100,000 บาท ค่าคอมมิชชั่น 3% เท่ากับพนักงานมีรายได้เพิ่มอีก 3,000 บาท (ไม่รวมเงินเดือน) และยังมีค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดเช่น ยอดขาย 100,000 ได้ 3,000 บาท ยอดขาย 150,000 บาท ได้ 4,000  หรือค่าคอมมิชชั่นตามผลกำไร เช่น 5% จากผลกำไร ซึ่งหากธุรกิจคำนวณกำไรต่อเดือนได้ 30,000 บาท พนักงานจะได้ค่าคอมมิชชั่น 1,500 บาท หรือครั้งก็เป็นการจ่ายค่าคอมมิชชั่นตามจำนวนชิ้นที่ขายได้ ซึ่งก็เป็นการตกลงของเจ้าของกับพนักงานว่าจะมีรายได้ต่อชิ้นเท่าไหร่ แต่วิธีนี้ต้องตรวจสอบได้ด้วยว่ายอดขายตรงกับจำนวนสินค้าที่ขายไป เพื่อที่ธุรกิจจะได้มีกำไรจริงๆ 
 
4. ตั้งเงินเดือนตามประสบการณ์


ภาพจาก facebook.com/Nbpancake
 
การตั้งเงินเดือนตามประสบการณ์มีข้อดีที่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้ ซึ่งในร้านค้า ร้านอาหาร เจ้าของธุรกิจอาจไม่ได้ลงมาดูแลเองทุกวัน ทุกครั้ง ดังนั้นต้องมีคนที่เหมือนดูแลธุรกิจแทนได้ นั่นหมายถึงว่าเขามีประสบการณ์ในการดูแลร้านเสมือนเป็นเจ้าของ มีอำนาจในการบริหารสต็อคสินค้า วัตถุดิบต่างๆ ตรวจเช็คความเรียบร้อย ซึ่งพนักงานที่มีประสบการณ์นี้ยังช่วยประคับประคองพนักงานรุ่นน้องให้ทำงานต่อไปได้ การที่ธุรกิจใดก็ตามไม่ให้ความสำคัญกับพนักงานเก่าๆ ที่มีประสบการณ์ที่ทำงานแทนเจ้าของได้

หรือมัวคิดแต่จะจ้างพนักงานด้วยค่าตอบแทนถูกๆ เรียกว่า “ไม่ซื้อใจ” พนักงาน เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายทางธุรกิจ เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนซึ่งมีประสบการณ์และทำงานได้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากค่าจ้าง เขาอาจมองหาที่ใหม่ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ธุรกิจนั้นๆก็จะไม่มีคนคอยประคับประคองแม้จะได้คนใหม่มาแทนแต่ก็ยังไม่เข้าใจวัฒนธรรมองค์กร ไม่เข้าใจเทคนิคการทำงานที่ดี ด้วยยังไม่มีประสบการณ์ในงานที่ทำมากพอก็เป็นผลเสียหายต่อธุรกิจได้อย่างรุนแรงทีเดียว
 
5. “ตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง” ไม่ต้องจ้างพนักงาน


ภาพจาก bit.ly/2RGzoq8
 
วิธีนี้อาจจะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มเปิดดำเนินกิจการ สายป่านอาจยังไม่ยาวพอ ต้นทุนอาจมีไม่มาก อะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด และอย่างนั้นจะ “ตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง” ไปเพื่ออะไร คำตอบคือ “เพื่อการจัดการด้านบัญชีอย่างเป็นระบบ” เป็นการวางโครงสร้างของธุรกิจที่พร้อมจะเติบโตในอนาคต ด้วยการจัดสรร งบรายได้ รายจ่าย ที่ต้องสอดคล้องกัน หากยอดขายของร้านน้อย เงินเดือนที่จัดสรรมาให้ตัวเองก็น้อยแต่ต้องมีเพราะถือว่าเราคือพนักงานคนหนึ่งและ เมื่อธุรกิจมีรายได้ที่มากขึ้น การจัดสรรเงินเดือนมาให้ตัวเองก็ต้องปรับมากขึ้น  ซึ่งการวางระบบรายจ่ายให้เป็นรูปเป็นร่าง เมื่ออนาคตธุรกิจเราเติบโตขึ้น มีการรับพนักงานเพิ่มขึ้น เราจะได้มีประสบการณ์ในการจ่ายเงินเดือนส่วนนี้ซึ่งถึงตอนนั้นก็คือเงินเดือนที่จ่ายให้พนักงานจริงๆ ส่วนตัวเจ้าของกิจการก็ไปรับรายได้จากผลกำไรในธุรกิจเป็นหลัก
 
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจให้อยู่รอดต้องรู้จัก “รักษาคน” โดยเฉพาะคนที่ทำงานเก่ง ทำงานดี เข้าใจในระบบงาน เพราะคนเหล่านี้คือหัวใจขององค์กรที่เจ้าของธุรกิจสามารถเชื่อใจไว้ใจเพราะแน่ใจว่าคนเหล่านี้รู้ดีว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ซึ่งการจ้างคนใหม่อยู่เรื่อยๆ ข้อเสียคือทำให้ธุรกิจไม่เติบโตเพราะต้องมาเสียเวลาสอนงาน กว่าพนักงานใหม่จะเข้าใจเนื้อแท้ของงาน บางทีพอเข้าใจก็อยู่กับเราไม่นานไปหางานใหม่ที่รายได้ดีกว่า ดังนั้นการรักษาคนจึงเป็นหัวใจที่สำคัญ เรื่องเงินเดือนคือแนวทางหนึ่งที่องค์กรควรใช้ในการรักษาคนทำงานให้อยู่กับธุรกิจได้นานๆ เพื่อโอกาสในการเติบโตที่มากขึ้น
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 

ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ goo.gl/Io5k2S
 
ขอบคุณข้อมูล https://bit.ly/35UPhgx
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
609
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
503
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
476
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
421
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
410
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
406
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด