บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
1.7K
3 นาที
23 มกราคม 2563
ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยปี 63
 
ภาพจาก https://bit.ly/2Ri5asY

ในวันพุธที่ 22 มกราคม 2563 ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้แถลงข่าวสำคัญสรุปภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 และทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย พ.ศ.2563 ซึ่งเป็นการสำรวจล่าสุดและเป็นการสำรวจครั้งใหญ่ที่สุดโดยครอบคลุมโครงการที่อยู่อาศัยถึง 2,359 แห่งที่ยังขายอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ณ สิ้นปี 2562
 

 
ภาพรวมลดลง
 
ปี 2562 มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทเปิดตัวใหม่ใหม่ 480 โครงการ กลับเพิ่มขึ้นกว่าปี 2561 ที่เปิดตัว 457 โครงการ อย่างไรก็ตามจำนวนเฉพาะหน่วยที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่กลับมีน้อยกว่า โดยในปี 2562 เปิดตัว 118,975 หน่วยในขณะที่ปี 2561 เปิดตัวถึง 125,118 หน่วย หรือลดลง 5%  ยิ่งพิจารณาจากมูลค่าโครงการที่อยู่อาศัยที่เปิดใหม่ในปี 2562 ซึ่งมีอยู่ 476,911 ล้านบาทนั้น ลดลงจากปี 2561 ที่เปิดตัวสูงสุดถึง 565,811 โดยลดลงถึง 16%
 
อาจกล่าวได้ว่าอันที่จริงโครงการที่เปิดตัวในปี 2562 น่าจะลดลงมากกว่าที่สำรวจได้ แต่เนื่องจากในไตรมาสที่ 4/2562 รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จึงมีการเปิดตัวในช่วงปลายปีโดยเฉพาะเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนอย่างคึกคักมากเป็นพิเศษ  ดังนั้นมาตรการกระตุ้นเหล่านี้จึงเป็นการช่วยระบายสินค้าให้ผู้ประกอบการและเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างสินค้าเข้ามาในตลาดได้อย่างต่อเนื่องอีก  อุปทานก็ไม่ได้ถูกดูดซับให้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการก็พยายามปรับตัวโดยทำโครงการที่มีขนาดเล็กลงเพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการ  ยิ่งกว่านั้นในการลดความเสี่ยง โครงการในปี 2562 ยังปรับลดราคาลงเหลือเฉลี่ย 4 ล้านบาทต่อหน่วยในขณะที่โครงการในปี 2561 มีราคาเฉลี่ยถึง 4.6 ล้านบาทต่อหน่วย
 
แม้การเปิดตัวของจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในปี 2562 จะลดลงไม่มาก คือเพียง 5% ก็ตาม แต่สิ่งที่น่าวิตกก็คือ จำนวนหน่วยขายที่ขายได้รวมทั้งหมดเฉพาะในปี 2562 กลับมีเพียง 99,862 หน่วย เมื่อเทียบกับหน่วยขายที่ขายได้ในปี 2561 ที่มีถึง 120,577 หน่วยนั้น ถือว่าลดลงไปถึง 17% เลยทีเดียว  ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการซื้อของผู้บริโภคอาจยังมีจำกัด แม้ผู้ประกอบการและรัฐบาลจะพยายามมีมาตรการกระตุ้นให้เกิดการซื้อก็ตาม
 
ตัวเลขที่น่าห่วงใยในขณะนี้ก็คือยังมีหน่วยขายที่รอการขายและยังอยู่ในมือของผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินทั้งหมดในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถึง 218,881 หน่วยที่จะเข้ามาขายในปี 2563 ในขณะที่ก่อนหน้านี้ 1 ปียังมีหน่วยขายที่อยู่ในมือผู้ประกอบการเพียง 199,768 หน่วยที่เข้ามาขายในปี 2562 หรือเท่ากับเพิ่มขึ้น 19,113 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 10% หากเฉลี่ยว่าปีหนึ่งมีการดูดซับอุปทานที่อยู่อาศัยประมาณ 110,000 หน่วย  อุปทานที่ยังเหลืออยู่ 218,881 หน่วยนี้ คงต้องใช้เวลาดูดซับอีกราว 2 ปีโดยไม่ต้องสร้างสินค้าใหม่  ดังนั้นหากรัฐบาลยังกระตุ้นการซื้อต่อไป ก็อาจทำให้อุปทานเพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับที่อันตรายกว่านี้
 
 
โครงการหยุดขาย
 
ในการสำรวจ ณ สิ้นปี 2562 พบว่า มีโครงการที่หยุดการขายไปเช่นกัน โดย ณ กลางปี 2562 มีจำนวน 205 โครงการ รวม 57,913 หน่วย รวมมูลค่า 147,462 ล้านบาท  ในขณะที่ ณ สิ้นปี 62 มีจำนวน 213 โครงการ รวม 57,711 หน่วย มีมูลค่าทั้งหมด 177,176 ล้านบาท  ทั้งนี้ในรอบ 6 เดือนล่าสุดพบจำนวนโครงการที่หยุดขายเพิ่ม 8 โครงการ (4%) และมีมูลค่าของโครงการที่หยุดขายเพิ่มขึ้น 29,713 ล้านบาท  อย่างไรก็ตามจำนวนโครงการที่หยุดขายนี้ยังไม่ถึงขีดอันตราย  แม้ว่าบริษัทมหาชนก็ยังมีโครงการที่หยุดขายเพราะต้องการปรับกลยุทธ์การขายใหม่ด้วยก็ตาม
 
สำหรับสาเหตุของการหยุดขายนั้น เหตุผลสำคัญก็คือโครงการไม่ผ่านการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่มีถึง 29% แต่ได้เปิดขายไปก่อน และเมื่อไม่ผ่านการพิจารณา ก็ต้องล้มเลิกโครงการไป  เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อ (22%) ซึ่งก็คงเป็นเพราะโครงการขายไม่ได้ดีตามเป้าหมาย นอกจากนี้ยังพบว่ามีอีก 19% ที่เห็นได้ชัดเจนว่าสินค้าขายไม่ออก หรือรูปแบบไม่เหมาะสมนั่นเอง  สำหรับเหตุผลอื่นก็เช่น ทำเลที่ตั้งไม่เหมาะสม เปลี่ยนรูปแบบโครงการใหม่ รอปรับราคา เป็นต้น
 
 
 
สถานการณ์การเปิดตัวรายประเภท
 
สำหรับที่อยู่อาศัยประเภทสำคัญที่พึงพิจารณาก็คือ
 
            1. บ้านเดี่ยว : หน่วยขายเปิดใหม่ ครึ่งหลังของปี 2562 จำนวน 5,724 หน่วย เพิ่ม 1,220 หน่วย (27.1%) จาก ครึ่งแรกของปี 2562 อุปทานเหลือขาย 34,537 หน่วย ลดลง 895 หน่วย  (-2.5%) จากกลางปี 2562 ขายได้ ครึ่งหลังของปี 2562 จำนวน 6,619 หน่วย เพิ่ม 40 หน่วย (0.6%) เทียบกับ ครึ่งแรกของปี 2562
 
            2. ทาวน์เฮ้าส์: หน่วยขายเปิดใหม่ ครึ่งหลังของปี 2562 จำนวน 12,687 หน่วย เพิ่ม 62 หน่วย  (0.7%) จาก ครึ่งแรกของปี 2562  อุปทานเหลือขาย 61,541 หน่วย ลดลง 1,681 หน่วย (-2.7%) จากกลางปี 2562 ขายได้ ครึ่งหลังของปี 2562 จำนวน 14,368 หน่วย ลดลง 2,802 หน่วย (-16.3%) เทียบกับ ครึ่งแรกของปี 2562
 
            3. ห้องชุด: หน่วยขายเปิดใหม่ ครึ่งหลังของปี 2562 จำนวน 33,650 หน่วย เพิ่ม 7,324 หน่วย (27.8%) จากปี ครึ่งแรกของปี 2562 อุปทานเหลือขาย 88,788 หน่วย เพิ่ม 6,970 หน่วย (8.5%) จากสื้นปี 61 ขายได้ ครึ่งหลังของปี 2562 จำนวน 26,680 หน่วย ลดลง 6,500 หน่วย (-19.6%) เทียบกับ ครึ่งแรกของปี 2562
 
การเปิดเพิ่มเหล่านี้เกิดจากมาตรการกระตุ้นของทางราชการ ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจดี จึงมีคนซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่ม  นอกจากนี้โดยที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำมาก นักลงทุนจึงพยายามซื้อสินค้าที่อยู่อาศัยไว้เก็งกำไรกันเป็นจำนวนมาก จึงกลายเป็นอุปทาน “เทียม” ไปจำนวนหนึ่ง  คาดว่าทั้งตลาดมีผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงประมาณ 60% นอกนั้นเป็นนักลงทุน นักเก็งกำไรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
 
แชมป์ปี 2562
 
ในส่วนของบริษัทมหาชนและบริษัทในเครือรวมกัน  บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เป็นแชมป์เปิดตัวโครงการสูงสุดถึง 34 โครงการ รวม 10,150 หน่วย รวมมูลค่า 38,174 ล้านบาท โดยมีราคาขายเฉลี่ย 3.761 ล้านบาทต่อหน่วย  ครองส่วนแบ่งถึง 8.5% ของทั้งตลาด หรือ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดขายทุก 1 ในจำนวน 12 หน่วยในตลาดเลยทีเดียว  รองลงมาในด้านจำนวนหน่วยที่เปิดขายก็คือ บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) เปิดตัว 9,276 หน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 5.233 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากด้านมูลค่าเป็นหลัก จะพบว่า บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) มีมูลค่าการเปิดตัวสูงสุดถึง 48,542 ล้านบาทเลยทีเดียว อันดับที่ 3 ก็คือ บมจ.ศุภาลัย 5,235 หน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 5.408 ล้านบาท และอันดับที่ 4 คือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ 4,643 หน่วย เฉลี่ยหน่วยละ 3.891 ล้านบาท
 
สำหรับบริษัทนอกตลาดที่น่าสนใจก็คือ บจก.รีเจนท์กรีนเพาเวอร์ที่เปิดขาย 3 โครงการในปี 2562 มี 5,249  หน่วย รวมมูลค่า 5,902 ล้านบาท หรือเฉลี่ยหน่วยละเพียง 1.124 ล้านบาท บริษัทนี้ครองส่วนแบ่งตลาด 4.4% ในแง่จำนวนหน่วย พอๆ กับ บมจ.ศุภาลัย แต่มีมูลค่าการพัฒนาน้อยกว่า บมจ.ศุภาลัย  รองลงมาเป็น บจก.ริสแลนด์ (ประเทศไทย) บจก.ไฮไชน์ดีเวลลอปเม้นท์กรุ๊ป  จะเห็นได้ว่ามีบริษัทพัฒนาที่ดินของจีนเข้ามาในตลาดไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 
 
 
 
 
สำหรับในปี 2563 คาดว่าจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ล่าสุดเรื่อง LTV และมาตรการอื่นๆ ที่ยังใช้อยู่ จะทำให้อุปทานที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  การเปิดใหม่ในปี 2563 อาจไม่น้อยกว่าปี 2562 แม้เศรษฐกิจจะไม่ดีก็ตาม เพราะยังมีแรงซื้อจากการการหวังเก็งกำไรเนื่องจากการลงทุนในธุรกิจอื่นมีจำกัด หรือการผันเงินจากเงินกู้ซื้อบ้านไปทำธุรกิจอื่น  สิ่งที่น่าห่วงก็คืออุปทานรอการขายจะมีมากขึ้น บ้านว่างหรือบ้านที่สร้างเสร็จและขายไปแล้วแต่ไม่มีผู้เข้าอยู่อาศัยจะเพิ่มขึ้นจากที่พบในปี 2562 จำนวน525,000 หน่วย  สัดส่วนนักเก็งกำไรอาจเกิน 40% หนี้เสียอาจมีมากขึ้น ที่สำคัญ NPL หรือสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือสินเชื่อที่ไม่เกิดกำไรกับผู้ปล่อยกู้น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าที่กำลังก่อตัวในปี 2562  การลงทุนจึงพึงศึกษาข้อมูลให้ดีและต่อเนื่อง


ที่มา : https://bit.ly/36cCWUU
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
631
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
548
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
495
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
464
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
446
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
441
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด