บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
4.1K
3 นาที
20 มีนาคม 2563
10 เรื่องจริงที่คุณไม่รู้! ย้อนอดีตโรคระบาดในเมืองไทย
 

สถานการณ์ตอนนี้คนไทยต้องไม่ตื่นตระหนก หรือหวาดวิตกจนเกินไป การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่จริงก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทย หากลองย้อนประวัติศาสตร์กลับไปตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
 
www.ThaiFranchiseCenter.com มีข้อมูลน่าสนใจที่บ่งบอกว่า “พวกเราคนไทย” เคยผ่านประสบการณ์ในลักษณะนี้กันมาแล้ว ซึ่งทุกครั้งเราก็สามารถผ่านพ้นมาได้ด้วยดี และเชื่อว่าการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในครั้งนี้เราก็จะผ่านไปได้ด้วยดีเช่นกัน ลองมาดู 10 เรื่องจริงที่คุณไม่รู้! ย้อนอดีตโรคระบาดในเมืองไทย มีเหตุการณ์อะไร เกิดขึ้นตอนไหนบ้าง
 
1. ไข้ทรพิษ หรือโรคฝีดาษ


ภาพจาก bit.ly/2WuYuuw
 
ไข้ทรพิษหรือโรคฝีดาษ มีอาการคือผื่นขึ้นตามตัว ไข้สูง และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนที่ทำให้เสียชีวิตได้ ในประเทศไทยไข้ทรพิษมีปรากฏครั้งแรกสมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ ช่วง พ.ศ. 2460-2504 มีการระบาดของฝีดาษเกิดขึ้นทุกปี เหตุเพราะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เริ่มระบาดจากเชลยพม่า โดยมีผู้ป่วยมากถึง 62,837 คน และมีผู้เสียชีวิต 15,621 คน ในปี 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าฝีดาษถูกกวาดล้างหมดแล้ว จึงหยุดการปลูกฝีป้องกันโรคนับแต่นั้น และโรคฝีดาษก็ไม่เคยกลับมาระบาดอีกเลย

2. “กาฬโรค” ในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
 
ในยุคพระเจ้าอู่ทองเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของ “โรคห่า” หรือที่มาเรียกกันใหม่ในภายหลังว่า “กาฬโรค” โดยมีพาหะคือ “หมัด” และ “หนู” คาดว่าจะกระจายมาจากเรือสำเภาที่เข้ามาเทียบท่าค้าขาย  ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต พ.ศ. 2182 บันทึกความรุนแรงของโรคห่าในครั้งนั้นว่า “น้ำลายพิษ” ของมังกร (นาค) จากหนองน้ำ ฆ่าคนเมืองร้าง” ซึ่งจากการแพร่ระบาดในครั้งนั้นก็ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสังคมโดยเฉพาะด้านภาษาและวัฒนธรรม
 
3. “อหิวาตกโรค” ในสมัยรัชกาลที่ 2


ภาพจาก bit.ly/2vA11Zp
 
ข้อความจากพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 2 กล่าวถึงเหตุการณ์ระบาดของไข้ป่วงหรือลงราก ที่ภายหลังเรียกว่า อหิวาตกโรค ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นทั้งในกรุงเทพและหัวเมืองใกล้เคียงประมาณ 30,000 คน 
 
ในพงศาวดารฉบับเดียวกันระบุว่า “ครั้นเมื่อถึงเดือนเจ็ดข้างขึ้น เกิดไข้ป่วงมาแต่ทะเล ไข้นั้นเกิดมาแต่เกาะหมากก่อน แล้วข้ามมาหัวเมืองตะวันตก เดินขึ้นมาถึงปากน้ำเจ้าพระยา ชาวเมืองสมุทรปราการตายลงเป็นอันมาก ก็พากันอพยพขึ้นมากรุงเทพมหานครบ้าง แยกย้ายไปตามทิศต่างๆบ้าง ที่กรุงเทพฯ วันขึ้น 6 ค่ำเดือน 7 ไปจนถึงวันเพ็ญ ตายทั้งหญิงทั้งชาย ศพที่ป่าช้าแบศาลาดินในวัดสระเกษ วัดบางลำพู  วัดบพิตรพิมุข วัดปทุมคงคา แลวัดอื่นๆ ก่ายกันเหมือนกองฟืน ที่เผาเสียก็มากว่ามาก แลที่ลอยในแม่น้ำลำคลองเกลื่อนกลาดไปทุกแห่ง จนพระสงฆ์หนีออกจากวัด คฤหัสถ์หนีออกจากบ้าน”
 
4. “อหิวาตกโรค” อีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 3
 
ถึงสมัยรัชกาลที่ 3 อหิวาตกโรคกลับมาระบาดอีกครั้ง คราวนี้เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ ระยะเวลากว่า 1 เดือน หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในขณะนั้นรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตกว่า 5,000 คน และอหิวาตกโรคนี้ก็กลับมาระบาดอีกครั้งในต้นรัชกาลที่ 5 ในช่วงเพียงเดือนเดียวมีรายงานผู้เสียชีวิตกว่า 6,600 คนกระทั่งแพทย์ตะวันตกและความก้าวหน้าด้านสาธารณสุขมีมากขึ้น อหิวาตกโรคก็ไม่น่ากลัวเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป
 
5. “กาฬโรค” อีกครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 5


ภาพจาก bit.ly/395rICX
 
กาฬโรคได้กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 5  โดยเริ่มแพร่ระบาดจากเมืองท่าของจนและฮ่องกง เคลื่อนตัวไปอินเดีย แอฟริกา  ยุโรป สิงคโปร์  ออสเตรเลีย และไทย มาตรการป้องกันขณะนั้นคือบังคับให้เรือที่มาจากพื้นที่ระบาดให้จอดรอตรวจโรคก่อน รวมถึงจอดรอที่เกาะไผ่ ห่างจากฝั่งราว 8 กิโลเมตรจนครบ 9 วัน จึงอนุญาตให้เข้ากรุงเทพฯได้ ซึ่ง “พระบำบัดสรรพโรค” หรือ “หมอฮันส์ อะดัมสัน” ลูกครึ่งเดนมาร์ก-มอญ  หรือที่คนไทยเรียกว่า “หมอลำสั้น” นับเป็นแพทย์ไทยประจำด่านตรวจคนแรกที่เป็นผู้ออกประกาศจัดการป้องกันกาฬโรค
 
6. “โรคเรื้อน” ในสมัยรัชกาลที่ 6


ภาพจาก bit.ly/2QxJKHy
 
สมัยโบราณเรียกว่า “ขี้ทูด กุฏฐัง” โดยมีอาการแสดงออกที่ผิวหนัง ในช่วงระบาดมีสถิติผู้ป่วยนับแสน มีการสร้าง “นิคมโรคเรื้อน” หลายแห่งทั่วประเทศ อาจด้วยการแพทย์ในขณะนั้นยังไม่ก้าวหน้าทำให้โรคนี้เป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วไป จนกระทั่งในปี 2430 นพ.เจมส์ ดับบลิว แม็คเคน คณะแพทย์มิชชั่นนารีจากอเมริกา ใช้การรักษาด้วยวิทยาการสมัยใหม่โดยใช้ยาปฏิชีวนะอันเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขจัดโรคเรื้อนในประเทศไทย
 
7. “ไข้หวัดสเปน” ในปี พ.ศ.2465


ภาพจาก bit.ly/2UqLXG3

สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 มีทาหารอาสาจากประเทศไทยเดินทางไปร่วมรบและเมื่อทหารอาสาเหล่านี้เดินทางกลับมา ได้นำโรคระบาดดังกล่าวเขามาแพร่ระบาดอย่างหนักในปีพ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1919) ประชากรของประเทศสยามอยู่ที่ 8,478,566 คน มีผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ถึง 2,317,633 คน คิดเป็นอัตราการติดเชื้อถึง 36.6%  ชาวสยามเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สเปนถึง 80,263 คน คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 1.0%
 
ในเวลานั้นประเทศสยามยังแบ่งการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาลต่างๆ ปรากฎว่ามณฑลที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดคือมณฑล เสียชีวิตมากที่สุดคือมณฑลปราจีน (ได้แก่เมืองปราจีนบุรี เมืองชลบุรี เมืองนครนายก เมืองฉะเชิงเทรา เมืองบางละมุง เมืองพนัสนิคม และเมืองพนมสารคาม) มีผู้ติดเชื้อคิดเป็นร้อยละของประชากร 42.3% แต่มณฑลที่มีคนเสียชีวิตมากที่สุดคือมณฑลพายัพ (นครเชียงใหม่บวกกับเมืองแม่ฮ่องสอนและเมืองเชียงราย นครลำปาง นครลำพูน นครน่าน นครแพร่ เมืองเถิน) มีอัตราการตาย 1.5%
 
8. “วัณโรค” แพร่ระบาดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2


ภาพจาก bit.ly/3a1Q1Db
 
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการระบาดของ “วัณโรค” หรือที่เรียกว่า “ทุเบอร์คุโลลิส” สถิติใน พ.ศ.2490 ระบุว่าเฉพาะเขตกรุงเทพมีผู้เสียชีวิต 217 คน จากประชากร 1 แสนคน “หลวงพยุงเวชศาสตร์” อธิบดีกรมอนามัยในขณะนั้นจึงได้ตั้ง “สถานตรวจโรคปอด” ย่านยศเส เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2492
 
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นก็ได้มีการตั้ง “กองการปราบวัณโรค” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพทยสมาคม  โดยสมเด็จพระมหิตลาธิเบศ อดุลยเดช วิกรม พระบรมราชชนก ทรงมีบทบาทอย่างยิ่งในการริเริ่มการต่อต้านวัณโรคในประเทศไทย และในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้อนุมัติสร้างโรงพยาบาลสำหรับรักษาวัณโรคเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ใช้ชื่อว่า “โรงพยาบาลวัณโรคกลาง”
 
9. ไข้หวัดนก H5N1


ภาพจาก bit.ly/2WvVLB6
 
ไข้หวัดนก สายพันธุ์ H5N1 พบการระบาดในประเทศไทยครั้งแรกปี พ.ศ. 2547 และมีการระบาดในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศจีนและฮ่องกง  โดยเป็นโรคติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นในสัตว์ปีก โดยพบว่ามีผู้ป่วยและเสียชีวิตมากที่สุดในปี 2547 คือป่วย 17 ราย เสียชีวิต 12 ราย ในปี พ.ศ. 2548 ป่วย 5 ราย เสียชีวิต 2 ราย และปี พ.ศ. 2549 ป่วย 3 ราย เสียชีวิต 3 ราย รวมพบผู้ป่วย 25 ราย เสียชีวิต 17 ราย โดยในปี พ.ศ. 2547 พบพื้นที่ระบาดมากที่สุดโดยมากถึง 60 จังหวัด
 
10. การแพร่ระบาดของ “โควิด-19”


ภาพจาก bit.ly/33Frtxy
 
โควิด-19 เริ่มระบาดในจีน ที่เมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีประชากรกว่า 11 ล้านคน หลังจากเก็บตัวอย่างไวรัสจากคนไข้กลุ่มแรกไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ จีนและ WHO ระบุตรงกันว่า ไวรัสชนิดนี้คือ “เชื้อไวรัสโคโรน่า” ซึ่งถือเป็นสายพันธุ์ใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้พบไวรัสโคโรน่ามาแล้ว 6 สายพันธุ์ ที่เคยมีการระบาดในมนุษย์ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดจึงเป็นสายพันธุ์ที่ 7  
 
ปัจจุบัน (20 มีนาคม 2563) สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีผู้ป่วยรวมกันกว่า 245,612 คนและผู้เสียชีวิตอีกกว่า 10,048  คน รักษาหายแล้ว 88,437 คน ในส่วนของประเทศไทย ยอดผู้ป่วยรวมถึงตอนนี้ (20 มีนาคม 2563) จำนวน 272 คน รักษาหายแล้ว 42 คน  รักษาตัว 229 คน เสียชีวิต 1 คน  และอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังอีก 8,729 คน
 
สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คือ “มีวินัยต่อตัวเองและสังคม” มาตรการของภาครัฐที่พยายามป้องกันจะสัมฤทธิ์ผลได้ก็ด้วยความร่วมมือไม่ใช่เอะอะก็โทษแต่ว่าราชการไม่ดี รัฐบาลไม่ดี หากมัวแต่โทษคนอื่นไม่โทษตัวเอง ไม่ช่วยตัวเอง เห็นทีวิกฤติครั้งนี้น่าจะกินเวลายาวนานกว่าที่คิด
 
ผู้อ่านสามารถติดตามข่าวสาร ทุกความเคลื่อนไหวธุรกิจแฟรนไชส์และ SMEs รวดเร็ว รอบด้าน

ติดตามได้ที่ Add LINE id:
 @thaifranchise
 
  
 
ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจ ติดตามได้ที่ www.thaifranchisecenter.com/document/
รับฟังบทความต่างๆ ผ่านทาง PodCast ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ https://soundcloud.com/thaifranchisecenter
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
612
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
514
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
477
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
435
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
421
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
417
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด