บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
268
2 นาที
8 ตุลาคม 2568
โชว์รูมรถ ปี68 ปิดเกือบ 100 หายนะเศรษกิจไทย
 

รถยนต์แม้ไม่ใช่หนึ่งปัจจัย 4 แต่ก็เป็นหนึ่งในสินค้าที่หลายคนต้องการ ปัจจุบันมีรถที่จดทะเบียนในเมืองไทยประมาณ 44 ล้านคัน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น คาดการณ์ว่าแทบทุกบ้านจะต้องมีรถ 1 คัน ถ้าไม่เป็นรถยนต์ก็ต้องเป็นรถมอเตอร์ไซด์ และบางบ้านอาจมีมากกว่า 1 คันด้วย
 
ตลาดรถยนต์เมืองไทยเคยบูมถึงขีดสุดช่วงปี 2555 – 2556 ซึ่งเป็นยุคทองของอุตสาหกรรมยานยนต์ ปี 2555 - ยอดขายในประเทศ 1,058,422 คัน แบ่งเป็นรถนั่งขนาดเล็ก 430,000 คัน เติบโต 35% และรถกระบะ 628,000 คัน เติบโต 27% โดยแบรนด์ชั้นนำอย่าง Toyota , Isuzu มียอดขายรวมทะลุ 300,000 คัน/ปี เฉลี่ยโชรูมแต่ละสาขามียอดขายเฉลี่ย 50-100 คัน/เดือน/แห่ง
 
ปี 2556 – ยอดขายสูงสุดที่ 1,091,338 คัน (สูงสุดในประวัติศาสตร์) รถกระบะครองตลาดกว่า 60% และรถยนต์ที่ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทยอดขายก็เพิ่มสูงในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี
 

ภาพจาก https://elements.envato.com
 
เหตุผลที่ทำให้ตลาดรถยนต์ช่วงนั้นโตถึงขีดสุดมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐ เช่น รถคันแรก (First Car) , โปรโมชันการตลาด และการลดดอกเบี้ยของแต่ละโชรูม รวมถึงในช่วงปีนั้นเราฟื้นตัวมาจากวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ทำให้ GDP ประเทศไทยเติบโตมากประมาณ 6.5% แถมหนี้ครัวเรือนก็ต่ำอยู่ที่ประมาณ 60% ของ GDP 
 
ซึ่งถ้าเทียบกับปัจจุบัน ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนประมาณ 91% ของ GDP นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการภาครัฐต่างๆ ทำให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อง่ายเพิ่มโอกาสในการขายรถยนต์ได้มากขึ้น
 
ย้อนมาดูตอนนี้ที่ธุรกิจยานยนต์กลายเป็นกราฟแนวดิ่งวิ่งลงชัดเจน ยอดขายทั้งปี 2568 คาดว่าประมาณ 530,000 – 565,000 คัน หดตัว 5-10% จากปี 2567 ที่มียอดขาย 573,000 คัน ถือว่าเป็นยอดขายที่ต่ำสุดในรอบ 15 ปี และถ้านับจากปี 2556 ที่พีคสุดกลายเป็นว่าธุรกิจยานยนต์หดตัวหนักกว่า 50 % 
 
ดูยอดขายปัจจุบันตั้งแต่มกราคม - กันยายน 2568 พบว่า
 
ยอดขายรวม 9 เดือน ประมาณ 400,000 – 450,000 คัน
  • รถนั่งขนาดเล็ก (รถเก๋ง) ประมาณ 150,000 คัน ยอดจำหน่ายลดลง 3% 
  • รถกระบะ ประมาณ 250,000 คัน ยอดจำหน่ายลดลง 15% 
แถมยังมีหนี้เสียและถูกยึดรถคืนอีกกว่า 300,000 คัน/ปี
 

ภาพจาก https://elements.envato.com
 
ไม่ใช่แค่นั้นข้อมูลจาก 5 เดือนแรกของปี 2568 ค่ายยักษ์ใหญ่ให้ความเห็นตรงกันว่ายอดขายปีนี้อาจได้แค่ 545,000–600,000 คัน อย่างโตโยต้าเองก็ตั้งเป้ายอดขายไว้เพียงแค่ 231,000 คัน หรือค่ายซูซูกิที่ออกมาคาดการณ์ว่าอาจมียอดขายที่ลดลงจากปี 2567 เล็กน้อย
 
และถ้าไปดูในส่วนของโชรูมก็ยิ่งหนักจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นมาก ในปี 2567 มีโชรูมอยู่ที่ 2,197 แห่ง แบ่งเป็นโชว์รูมค่ายญี่ปุ่นและตะวันตก 1,660 แห่ง และเป็นค่ายจีน 537 แห่ง ในปี 2568 คาดว่าโชว์รูมจะลดลงเหลือ 2,146 แห่ง โดยเป็นของค่ายญี่ปุ่นและตะวันตก 1,566 แห่งขณะที่ค่ายจีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 580 แห่ง
 
แม้จะดูว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจีนยังเติบโตได้ดีและน่าจะมีการขยายตัว แต่จากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว 
 
และสงครามราคาที่รุนแรงทำให้โชรูมค่ายรถจีนก็ประสบปัญหาหลายด้านเช่นกัน ที่ชัดเจนที่สุดคือตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ดังอย่าง NETA ที่บริษัทแม่เผชิญปัญหาขาดสภาพคล่อง ส่งผลให้ปัจจุบันจำนวนโชรูม NETA ในเมืองไทยลดลงจาก 60 แห่ง เหลือประมาณ 20 แห่งเท่านั้น
 

ภาพจาก https://elements.envato.com
 
ซึ่งจากสถานการณ์ที่ยอดขายรถตามโชรูมลดลงก็สะท้อนให้เห็นความเปราะบางของธุรกิจนี้ว่าอยู่ในภาวะที่เสี่ยงมากอันมีผลมาจากหลายปัจจัยคือ
  • รายได้จากบริการและซ่อมบำรุงลดลง ในภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบาก ผู้คนมีแนวโน้มที่จะนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อบำรุงซ่อมแซมน้อยลง หรือหากต้องซ่อมจริง ๆ ก็เลือกที่จะใช้บริการอู่นอก หรือยืดระยะเวลาการซ่อมออกไปเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ทำให้โชรูมสูญเสียรายได้ส่วนนี้ไปมากเช่นกัน
  • ต้นทุนดำเนินงานสูง โชว์รูมรถยนต์ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงจากการสต็อกรถยนต์ที่ยังขายไม่ออกและดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้โชรูมหลาย ๆ เจ้าต่างพยายามปรับตัวเพื่อหาช่องทางเพิ่มรายได้
  • การแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ตลาดรถยนต์ไทยในช่วง 2-3 ปีมานี้มีการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น โดยเฉพาะจากการเข้ามาของค่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีน ที่เลือกใช้กลยุทธ์ “ตัดราคา” เพื่อตีตลาด ทำให้รถ EV มีราคาเข้าถึงง่าย เช่น รถซีดานไฟฟ้าบางรุ่นที่มีราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 1 ล้านบาท ในขณะที่ค่ายญี่ปุ่นกับยุโรปที่ครองตลาดมานานก็โต้กลับด้วยการออกโปรโมชั่นแรง ๆ ตามมา ทำให้ตลาดกลายเป็นสงครามราคาครั้งใหญ่
  • หนี้ครัวเรือที่สูงกว่า 91% ของ GDP ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดสินเชื่อ อัตราปฏิเสธ 70% โดยเฉพาะกระบะ ส่งผลยอดขายลดลงกว่ารวมน่าจะไม่ต่ำกว่า 30% และคาดว่าจะมีรถถูกยึดประมาณ 300,000 คัน และมีหนี้เสีย 1.97 แสนล้านบาท
อีกหนึ่งปัจจัยที่เร่งให้โชรูมหลายแห่งต้องปิดตัวลงก็คือ One Price Policy หรือการที่บริษัทแม่กำหนดให้โชรูมทุกแห่งขายราคาเดียวกันทั่วประเทศ ทำให้โชรูมในไทยที่เมื่อก่อนแข่งกันตัดราคา ทำไม่ได้อีกต่อไป 
 
พอต้องขายราคาเท่ากันทั้งประเทศ เจ้าของโชรูมเลยต้องหันมาทำแบรนด์ดิ้งแทน ด้วยการทำคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ เช่น ทำคลิป TikTok รีวิวรถรุ่นใหม่ ๆ แบบเข้าใจง่าย หรือบางรายก็ทำคอนเทนต์แนว Q&A เพื่อตอบข้อสงสัยต่าง ๆ ให้กับลูกค้า 
 
ขณะที่บางราย เจ้าของก็ออกทำคอนเทนต์ด้วยตัวเอง โดยใช้ความเป็นกันเองของเจ้าของโชว์รูมสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดลูกค้าโดยตรง
 

ภาพจาก https://elements.envato.com
 
อีกปัญหาหนึ่งที่สัมพันธ์กับยอดขายที่ลดลงคือ “ค่าเช่า” พื้นที่ ยิ่งยอดขายลด เปอร์เซ็นต์ค่าเช่าก็ยิ่งเพิ่ม อย่างเช่นยอดขายโตโยต้าลดลง 3 % , ฮอนด้าลดลง 20.3% , อีซุซุ ลดลง 16.8% 
 
เมื่อรายได้ลดรายจ่ายก็เพิ่ม ผู้ประกอบรายย่อยที่ทำธุรกิจโชรูมจึงแบกรับไม่ไหวก็ต้องปิดกิจการและยังส่งผลให้พนักงานที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบไปด้วย 
 
สัญญาณการปิดตัวของโชว์รูมเหล่านี้อาจหมายถึงโอกาสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมรถยนต์ในเมืองไทย ซึ่งก็ต้องไปดูนโยบายของรัฐ – เอกชนว่าจะร่วมมือกันได้มากแค่ไหน เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นคืน ประชาชนกลับมามีกำลังซื้อ และลดต้นทุนด้านธุรกิจต่างๆ ให้แข่งขันในตลาดได้ 
 
หากทุกอย่างเปลี่ยนแปลงในด้านบวกมันก็คือทางสว่างที่เป็นหนทางรอด แต่ถ้าเป็นด้านลบผลที่ตามมาอาจไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมรถยนต์แต่จะหมายถึงอีกหลายธุรกิจในเมืองไทยที่จะไปไม่รอดด้วย
 
ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
AI คลื่นลูกที่ 5 ไม่ได้มาแทนที่ แต่มาเป็นเพื่อนค..
863
เทรนด์การตลาดส่งท้ายปี 2025 เมื่อผู้บริโภค “คิดเ..
713
5 ปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวัน ปรับสมดุลชีวิตเพื่..
560
สสปท. มอบโล่ Zero Accident ย้ำความปลอดภัยคือราก..
487
ทำเลทองของ “คาเฟ่ร้านกาแฟ” เปิดที่ไหน กำไรดีที่..
483
จักรวาลร้านสเต็ก ข้างทาง ใครเจ้าตลาด
477
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด